วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ควรรู้เรื่องการจัดไฟแนนซ์รถยนต์


 ไฟแนนซ์  ไฟแนนซ์รถมือสอง / สินเชื่อ เช่าซื้อรถ คือ การ ที่มีการซื้อขายรถยนต์  โดยที่ผู้ซื้ออาจมีเงินดาวน์บางส่วนให้แก่ผู้ขาย  ส่วนที่เหลือทำเรื่องกู้ บริษัทไฟแนนซ์  โดยผ่อนชำระเป็นงวดพร้อมดอกเบี้ยให้แก่บริษัทไฟแนนซ์  จนกว่าจะผ่อนครบ ระหว่างนี้กรรมสิทธิ์ จะเป็นของบริษัท ไฟแนนซ์ โดย ผู้ซื้อทำสัญญาเช่าซื้อจากบริษัท ไฟแนนซ์ โดยหลังจากผ่อนงวดสุดท้ายแล้วกรรมสิทธิ์จึงจะตกเป็นของผู้ซื้อ


กรณีใดบ้างที่สามารถจัดไฟแนนซ์ได้ ?
 กรณีที่สามารถจัดไฟแนนซ์ได้           
  • รถป้ายแดงที่ถอยจากโชว์รูม
  • รถซื้อจากเต้นท์ จำหน่ายรถยนต์มือ 2
  • รถซื้อขายกันเองกับเพื่อน, คนรู้จัก หรือ บุคคลอื่น
  • รถ ที่ตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่แล้วต้องการนำมากู้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง โดยเจ้าของรถยังสามารถใช้รถได้ หรือ ต้องการนำเงินไปลงทุนธุรกิจ  (รีไฟแนนซ์) ยอดกู้ได้ประมาณ 70% ของราคาซื้อขาย ณ ปัจจุบัน
  • รถ ที่ผ่อนอยู่กับไฟแนนซ์อื่น แต่ยังไม่ครบกำหนดสัญญา ต้องการย้ายไฟแนนซ์เพื่อยืดระยะเวลาให้ผ่อนน้อยลง และยังมีเงินเหลือเพื่อเพิ่มสภาพคล่องตนเองได้ (รีไฟแนนซ์) ยอดกู้ได้ประมาณ 70% ของราคาซื้อขาย ณ ปัจจุบัน

  • ธีการคำนวณค่างวดไฟแนนซ์/ เช่าซื้อ
    หากราคารถอยู่ที่  500,000 บาท ผู้ซื้อมีเงินดาวน์  20% คือ 100,000 บาท ที่เหลือกู้ไฟแนนซ์ 400,000  บาท 
         -  ดอกเบี้ย 5 %  ต่อปี
        -  จำนวน  48  เดือน

    ค่างวดก่อนภาษีมูลค่าเพิ่มจะเท่ากับ ((400,000 X 5% X 4) + 400,000) / 48
         ซึ่งจะเท่ากับ        10,000   บาท
         รวมภาษี 7%          700     บาท
         เป็นค่างวด          10,700   บาท


    นตอนการจัดไฟแนนซ์/ ขอสินเชื่อเช่าซื้อ รถยนต์
    • ลูกค้าแจ้งยี่ห้อ รุ่น ปี รถที่ต้องการซื้อ/ต้องการนำมากู้  หรือส่ง Fax เล่มทะเบียนมาที่บริษัท เพื่อให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อ ประเมินยอดจัดให้ ซึ่งโดยปรกติประมาณ 70-80% ของราคาซื้อขาย ซึ่งเมื่อลูกค้าตกลงที่จะจัด จะต้องเตรียมเอกสารของตนเองและคนค้ำประกันเพื่อทำสัญญาเช่าซื้อ
    • นัดเซ็นต์สัญญา และส่งมอบเอกสาร  ซึ่งลูกค้าสามารถเข้ามาทำสัญญาที่บริษัทหรือจะให้พนักงานไปเซ็นต์นอกสถานที่ ได้  หากไม่สะดวกในการเดินทางมาที่บริษัท ซึ่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อจะขอถ่ายรูปรถ และลอกลายเลขเครื่อง เลขถัง เพื่อประกอบการทำสัญญาด้วย
    • รอผลการตรวจสอบ ประมาณ 2-3 วันทำการ
    • เจ้าหน้าที่สินเชื่อจะแจ้งผลการอนุมัติ เพื่อขอเล่มทะเบียนตัวจริงไปโอนที่ขนส่ง เมือโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เป็นของบริษัทแล้ว บริษัทจะจ่ายเช็คให้ผู้ขายรถทันที
           แต่หากเป็นการโอนย้ายไฟแนนซ์ เล่มทะเบียนตัวจริงจะยังอยู่กับไฟแนนซ์เดิม หากเรื่องผ่านการอนุมัติ ทางบริษัทจะจ่ายเช็คให้กับไฟแนนซ์เดิม เพื่อปิดบัญชีให้ลูกค้าก่อน  แต่ลูกค้าจะต้องเซ็นต์ชุดโอนกรรมสิทธิ์ให้บริษัทเก็บไว้ เพื่อรอเล่มจากไฟแนนซ์เดิมมาโอนเข้าบริษัทในภายหลัง หากปิดบัญชีแล้วมีเงินเหลือ ลูกค้าจะได้รับเงินเลยในวันเดียวกันกับที่บริษัทไปปิดบัญชีไฟแนนซ์เดิมให้

    วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    3วิธีสร้างความสุขง่ายๆ


    ความสุขมักอยู่รอบตัวเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ถ้าใจเราสุขทุกอย่างก็ตามมา บางครั้งความสุขอาจเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่อยู่ใกล้กว่าที่คิดก็ได้ โดยที่คุณไม่ต้องไปมองหาจากที่ไหน คุณก็สามารถสร้างความสุขให้ตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นดาราหรือใครหลายๆคนก็ตามถ้าปฏิบัติด้วยการทำตามวิธีเหล่านี้ ก็ส่งผลดีได้ 100%

    1. อย่ามองข้ามสิ่งดี ๆ ที่เข้ามา

              เป็นเรื่องง่ายที่จะมองแต่เรื่องแย่ ๆ ในชีวิตและลืมเรื่องดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่การทำแบบนั้นจะทำให้คุณจับจดกับความเครียดจนไม่มีความสุขซะเปล่า ๆ เพราะฉะนั้นควรพยายามใส่ใจเรื่องดี ๆ ให้มากกว่าเรื่องแย่ ๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม ด้วยการจดบันทึกเฉพาะสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน พอกลับมาเปิดอ่าน จะได้ช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น

    2. หาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองด้วย

              ถ้าคุณรู้สึกเครียดหรือเบื่อหน่ายกับชีวิตแบบเดิม ๆ ก็ควรหาเวลาออกไปพักผ่อนคลายเครียดให้ตัวเองบ้าง จะได้ถือเป็นการให้รางวัลความพยายามของตัวเองอย่างหนึ่ง ด้วยการออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ในวันหยุด หรือลองไปทำสปาคลายเครียดดูบ้างก็ได้ คุณจะได้รู้สึกผ่อนคลาย พร้อมจะเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่อย่างสดใสมากขึ้น

    3. ปรึกษาปัญหากับใครสักคน

              การเก็บปัญหาของคุณเอาไว้กับตัวเองคนเดียวไม่ได้ช่วยให้คุณเข้มแข็งขึ้น แต่จะเป็นการสะสมความเครียดให้คุณรู้สึกไม่มีความสุขเสียมากกว่า ดังนั้นคุณจึงควรมองหาใครสักคนที่ไว้ใจและพึ่งพาได้ เช่นเพื่อนหรือครอบครัวมาเป็นคนคอยรับฟังเวลาที่คุณเสียใจจะดีกว่า เพราะถึงแม้เขาจะไม่สามารถแก้ปัญหาหรือให้คำปรึกษาดี ๆ กับคุณได้ แต่การอยู่เคียงข้าง ไม่ให้คุณรู้สึกเหงา ก็เป็นกำลังใจที่ดีได้เหมือนกัน  

    วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    อันตรายจากกลูต้าไธโอน


    เมื่อพูดถึงกลูต้าไธโอนในวงการผู้หญิงอยากขาวแม้กระทั่งดาราเองก็นิยมใช้กัน ซึ่งรู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่คุณรู้บ้างไหมว่าอันตรายจากกลูต้าไธโอนนั้นมีอะไรบ้าง มีผลข้างเขียงอย่างไรบ้าง หากว่าคุณคิดอยากจะมีผิวขาวสวยอมชมพูก็ต้องคิดกันสักนิดเพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อยู่ยั่งยืนคู่กับคุณไปจนแก่ นั้นมาดูอันตรายจากกลูต้าไธโอนและประโยชน์ของกลูต้าไธโอนกันค่ะ

    อันตรายจากกลูต้าไธโอน

    สารกลูต้าไธโอนเป็นโปรตีนที่ร่างกายเราสังเคราะห์ได้เองทำหน้าที่ปกป้อง เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน โดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายช่วยตับขจัดสารพิษ โดยเฉพาะตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เช่น โลหะหนัก สารฆ่าแมลง เมื่อรวมตัวกับสารกลูต้าไธโอนจะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกาย ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็ง นั่นเอง

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่อายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงมักจะตรวจพบสารกลูต้าไธโอนปริมาณสูงใน กระแสเลือด ต่อมาวงการแพทย์ได้นำสารกลูต้าไธโอนมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้น ประสาทบกพร่อง เช่น โรคตับ โรคไต พาร์กินสัน อัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก มานานกว่า 30 ปี โดยฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ

    เนื่องจากร่างกายเราสร้างกลูต้าไธโอนได้เองเมื่อต้องเสริมกลูต้าไธโอนใน ปริมาณมากเพื่อมุ่งรักษาโรค จึงมีผลข้างเคียงโดยกลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งทำให้ เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาวทำให้ผิวขาวขึ้นใน เวลาอันสั้น จึงเกิดการแตกตื่นและนำกลูต้าไธโอนมาเป็นอาหารเสริมเพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู


    กิน-ฉีดให้ขาว อันตรายถึงชีวิต


    ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมไม่มีผลให้ผิวขาว เพราะสารชนิดนี้ไม่สามารถดูดซึมและจะถูกขจัดออกจากร่างกายในที่สุด จึงได้มีการดัดแปลงนำมาผสมกับวิตามินซีแล้วฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ ครั้งละ 600 มิลลิลิตร สัปดาห์ละครั้ง ราคา 4,000-5,000 บาท ติดต่อกัน 3-5 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มขาวขึ้นหลังฉีดครั้งแรกประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้น 2 เดือนผิวจะกลับมาเป็นสีเดิมจึงต้องฉีดซ้ำอยู่เป็นระยะ

    ต่อมาองค์การอาหารและยาได้ประกาศห้ามใช้กลูต้าไธโอนเพื่อช่วยผิวขาวแล้ว เนื่องจากกลูต้าไธโอนทั้งชนิดเม็ดและชนิดฉีดเพื่อมุ่งผิวขาวมีกลูต้าไธโอน สูงถึง 500-1,000 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้ คือ ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวันและอาจทำให้แพ้ยาจนช็อกถึงขึ้นเสียชีวิตเฉียบพลันหรือส่งผล ในระยะยาว เช่น สะสมในร่างกายส่งผลเสียต่อตับและไตได้ และทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังเนื่องจากผิวไวต่อแสงแดดเพราะเม็ดสีผิวถูก ทำลายเสริมกลูต้าไธโอนด้วยการกิน

    แม้การบริโภคกลูต้าไธโอนในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีโรคแทรกซ้อนอาจทำให้ปริมาณกลูต้าไธโอนที่ร่างกาย ผลิตได้ลดลงทำให้ร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวแห้งเหี่ยวเร็ว ไม่เปล่งปลั่ง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ (ในกรณีที่ป่วย) หรือเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างกลูต้าไธโอนได้ดีขึ้น ได้แก่ ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว นม ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม มะเขือเทศ และผลไม้ เช่น แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น อะโวคาโด

    วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    การพนัน

     


    การพนัน ( gambling ) หมายถึง การเล่นชนิดหนึ่งเพื่อเอาเงินหรือสิ่งอื่นใดด้วยการเสี่ยงโชค โดยการทำนายหรือคาดเดาผลที่เกิดขึ้นในอนาคต การพนันอาจแบ่งได้หลายอย่าง เช่น การพนันในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น เกมไพ่ เกมลูกเต๋า การพนันโดยการทำนายผลที่คาดว่าเกิดขึ้นในอนาคตเช่น การแทงบอล การแทงม้า และการพนันที่ไม่มีการแข่งขันโดยขึ้นกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เกิด เช่น หวย
    การพนันกับปัญหาสังคมไทย     สังคมไทยมีความสัมพันธ์กับการพนันมาเป็นเวลานาน โดยการพนันเป็นส่วนหนึ่งของความบันเทิง รวมถึงการละเล่นของสังคมไทยเป็นเวลานาน เช่น มีการกำหนดให้การพนันเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายขึ้นในสมัยกรุงรัตน โกสินทร์ตอนต้น ต่อมารัฐบาลปิดโรงหวยด้วยสาเหตุดังนี้
       -การพนันมีผลกระทบต่อสังคมสูง
       -ประชาชนมีความหมกมุ่น
       -ไม่ทำมาหากิน
       -หมดเนื้อหมดตัว, สิ้นเนื้อประดาตัว
       -อาชญากรรมมากขึ้น

           ในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงมีการปิดบ่อนทั่วราชอาณาจักรไทย จากเหตุการณ์ข้างต้น แสดงว่า การพนันมีความเกี่ยวข้องกับสังคมไทย เป็นเวลานาน อย่างไรก็ดีแม้ปัจจุบันการพนันจึงกำหนดว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่การพนันยังไม่หมดจากสังคมไทย

            การพนันเป็นกิจกรรมที่คนทั่วโลกชื่นชอบ เพราะให้ทั้งความตื่นเต้นเร้าใจและยังอาจได้เงินมาอย่างง่ายๆด้วย การพนันจึงครอบงำจิตใจผู้ที่ความคิดอ่านยังไม่เติบโตพอที่จะรู้เท่าทันกับคำ ว่า."การพนัน" จากสถิติเกี่ยวกับการพนันที่น่าสนใจ การพนันที่นิยมเล่นในเด็กและวัยรุ่น อายุ 6-25 ปี พ.ศ.2548
         1.ไพ่ ร้อยละ 60
         2.พนันบอล/ผลกีฬา ร้อยละ 23
         3.หวยใต้ดิน/บนดิน ร้อยละ 8
         4.อื่นๆ ร้อยละ 9

    ความเชื่อเกี่ยวกับการพนัน        ปัจจุบันทุกคน มองโลกในแง่ร้าย โดยจะเห็นได้เลยว่า คนส่วนใหญ่ยังมีแนวคิดที่ผิดเกี่ยวกับการพนัน เพราะได้รับแต่เนื้อหาที่ไม่ดีเกี่ยวกับการพนัน แต่ทุกคนก็หนีการพนันไม่ได้ ชีวิตเราก็เป็นการพนันตลอดเวลาไม่ใช่หรือ เช่น ถามว่าตอนคุณสั่งข้าวกระเพาหมูกรอบในร้านที่คุณเพิ่งเคยซื้อเป็นครั้งแรกคุณ ไม่พนันในใจหรอว่าจะอร่อยมั้ย
    ดังนั้นลองไปคิดว่าทำไม ? มากกว่าการว่าการพนันไม่ดี ทำให้สุดท้ายแล้วชีวิตคุณจะไม่กล้าทำอะไรเลย ทั้งเรื่องงาน แฟน การเงิน เพราะคุณกลัวความเสี่ยง กลัวว่าจะต้องเสียมันไป

            ผมไม่รู้หรอกนะว่าบ่อนออนไลด์มันโกงหรือเปล่า ถ้าเป็นผมผมจะไม่คิดอย่างนั้น ผมจะคิดว่ามันผิดที่ผมเองที่ไปเล่นแบบไม่คิด
    มีทฤษฎีบอกไว้ว่าทำไมคนส่วนใหญ่เล่นการพนันไม่เคยชนะเจ้ามือ คือ
         1. ความน่าจะเป็น เพราะว่าเจ้ามือมีทุนเยอะมากเมื่อเทียบกับเรา ทำให้เราไม่สามารถยืนอยู่จนกระทั่งเราชนะได้ และที่เจ้ามือมีทุนเยอะมากก็เพราะว่า เขามีเงินมาก แล้วก็เขาเอาจากคนอื่นที่เสียมา เหมือน เวลาโยนเหรียญ ความน่าจะเป็น 50-50 หัวก้อย แต่ว่า หัวอาจจะออกติดกันสิบตาก็ได้ แต่ว่าในอนันต์ ความน่าจะเป็นจะเป็น 50-50 คนส่วนใหญ่จึงพลาดเพราะใช้ความรู้สึกในการคิด เช่น เหมือนหัวออกสามตา ตาที่สี่น่าจะเป็นก้อย ถ้าเข้าใจกฎของความน่าจะเป็นข้อนี้ จะทำให้เราเล่นการพนันแบบเข้าใจมากขึ้น
         2. mental accounting เพราะคนเราแบ่งแยกความสำคัญเงินไม่เท่ากัน เงินจากการทำงาน 1,000 บาท มีค่าไม่เท่ากับ เงินที่ได้จากเล่นไพ่ 1,000 บาท (ทั้งๆที่เป็นจำนวนเท่ากัน)
         3. house money มาจาก mental accounting อีกที ตรงที่ว่า พอเราได้เงินจากการพนันมา เราก็มักจะคิดว่า เรายังมีทุนเหลืออยู่ เลยเล่นไปเรื่อยๆ เหมือน คนที่ได้ไพ่ติดๆกัน คิดอยู่แค่ว่ายังไงเราก็ยังกำไรอยู่ และสุดท้าย ก็วนไปข้อ1 เพราะว่าเจ้ามือมีทุนเยอะกว่าเรา โอกาสในการชนะอยู่ในระยะยาว

    วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    สิ่งดีดี...ที่ได้จากการอ่าน


     ถ้าคุณเป็นอีกคนที่รักการอ่าน ไม่ว่าจะอ่านหนังสือเรียน สารคดี บทความ ข่าวสารต่างๆ  หรือแม้กระทั่งนิตยสารต่างๆในวงการบันเทิง คุณทราบหรือไม่ว่าคุณได้อะไรจากการอ่าน วันนี้เรานำประโยชน์ที่ได้จากการอ่านมาบอกค่ะ สำหรับคนที่ไม่ชอบการอ่าน ก็ลองมาดูประโยชน์ของมันกันนะค่ะ อาจจะทำให้คุณกลายมาคนที่รักการอ่านก็ได้ค่ะ

    ๑)  ทำให้มีความรู้ในวิชาการด้านต่าง ๆ
             อาจเป็นความรู้ทั่วไป หรือความรู้เฉพาะด้านก็ได้ เช่น การอ่านตำราแขนงต่าง ๆ หนังสือคู่มือ หนังสืออ่านประกอบในแขนงวิชาต่าง ๆ เป็นต้น

    ๒)  ทำให้รอบรู้ทันโลก ทันเหตุการณ์
              การอ่านหนังสือพิมพ์การอ่านจากสื่อสารสนเทศต่าง ๆ ในสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังจะได้ทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความวิจารณ์ ตลอดจนการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปรับความเป็นอยู่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพ สังคมของตนในขณะนั้น ๆ
    ๓)  ทำให้ค้นหาคำตอบที่ต้องการได้
              
    การอ่านหนังสือจะช่วยตอบคำถามที่เราข้องใจ สงสัย ต้องการรู้ได้ เช่น อ่านพจนานุกรมเพื่อหาความหมายของคำ อ่านหนังสือกฎหมายเมื่อต้องการรู้ข้อปฏิบัติ อ่านหนังสือคู่มือแนะวิธีเรียนเพื่อต้องการประสบความสำเร็จในการเรียน เป็นต้น
    ๔)  ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน
              การอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาดี น่าอ่าน
      น่าสนใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านมีความสุข ความเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์คล้อยตามอารมณ์ของเรื่องนั้น ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียด ได้ข้อคิด และยังเป็นการยกระดับจิตใจผู้อ่านให้สูงขึ้นได้อีกด้วย
    ๕)  ทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในการอ่าน
              ผู้ที่อ่านหนังสือสม่ำเสมอย่อมเกิดความชำนาญในการอ่าน สามารถอ่านได้เร็ว เข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้ง่าย จับใจความได้ถูกต้อง เข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่อง และสามารถประเมินคุณค่าเรื่องที่อ่านได้อย่างสมเหตุสมผล
    ๖)  ทำให้ชีวิตมีพัฒนาการเป็นชีวิตที่สมบูรณ์
              ผู้อ่านมากย่อมรู้เรื่องราวต่าง ๆ มาก เกิดความรู้ความคิดที่หลากหลายกว้างไกล สามารถนำมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ชีวิตมีคุณค่า และมีระเบียบแบบแผนที่ดียิ่งขึ้น
    ๗)  ทำให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเสริมสร้างบุคลิกภาพ
              ผ่านมากย่อมรอบรู้มาก มีข้อมูลต่างๆ สั่งสมไว้มาก เมื่อสนทนากับผู้อื่นย่อมมีความมั่นใจไม่ขัดเขินเพราะมีภูมิรู้ สามารถถ่ายทอดความรู้ให้คำแนะนำแก่ผู้อื่นในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้ ผู้รอบรู้จึงมักได้รับการยอมรับและเป็นที่เชื่อถือจากผู้อื่น

    วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    วิธีแก้ผมร่วง



    สาเหตุที่ผมร่วงนั้นคงไม่ได้เกิดจากแค่การรับประทานอาหาร การใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเหตุผลนั้นก็ต้องได้รับผลมาจากกรรมพันธุ์ด้วย  และเรื่องนี้เป็นที่สร้างความกังวลให้ใครหลายๆคนไม่น้อย แต่ก็ยังมีวิธีที่สามารถช่วยได้

    ไม่ยากเลยถ้าปฏิบัติตามวิธีดังกล่าว

    กินเนื้อปลาให้มากขึ้น
    เนื้อปลาไม่เพียงแต่อุดมด้วยโปรตีนและแร่ธาตุ หากเป็นปลาทะเลน้ำลึก ยังเป็นแหล่งกรดไขมัน โอเมก้า-3 ชั้นเยี่ยม และวิตามินดี สารอาหารทั้งสองประเภทนี้มีส่วนช่วยป้องกันผมร่วงในบุคคลที่ต้องรักษาอาการ เจ็บป่วยด้วยเคมีบำบัด แม้ยังไม่มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเส้นผมในผู้ชายสุขภาพดี แต่ทั้งโอเมก้า-3 และวิตามินดี ก็เป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์กับสุขภาพมากๆ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะสละเนื้อปลาออกจากมื้ออาหาร

    รักษาระดับเหล็กในร่างกาย
    การขาดแร่ธาตุประเภทเหล็ก มีผลให้ร่างกายเป็นโรคโลหิตจาง (ผู้หญิงมักประสบปัญหานี้ได้ง่าย) ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าคนที่ร่างกายขาดแร่ธาตุเหล็ก เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาผมร่วงโดยไม่คาดคิด แต่สภาวะหลุดร่วงของเส้นผมนั้นอาจจะเกิดขึ้นจนคุณแทบสังเกตไม่เห็น รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อผมบางไปเยอะแล้ว การเพิ่มแหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กในแต่ละมื้อ เช่น เมล็ดฟักทอง เต้าหู้ ควินวา (quinoa เมล็ดธัญพืชในแถบอเมริกาใต้ อุดมด้วยธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม ไลซีน) ช่วยแก้ปัญหาผมร่วงอันเกิดจากร่างกายขาดแคลนธาตุเหล็ก นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้กินมังสวิรัติที่ต้องการป้องกันปัญหาผมร่วง เนื่องจากร่างกายของคนกินมังสวิรัติอาจได้รับแร่ธาตุเหล็กไม่เพียงพอ เพราะคุณไม่กินเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดงและไข่

    อย่าลืม วิตามิน บี
    สิ่งสำคัญในการเจริญเติบโตของเส้นผม คือ วิตามิน บี ไบโอติน (biotin สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี อาหารขาดไบโอตินคือผิวหนังแห้งเป็นขุย ผมร่วง ผมเปราะบาง) โฟเลท วิตามินบีสอง และวิตามินบีสิบสอง ถ้าคุณคิดว่าร่างกายขาดวิตามินบี ให้ลองปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจไปซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทานเอง หรือเข้าทำการทดสอบการขาดวิตามินบี วิธีป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดแคลนกลุ่มวิตามินบี คือ กินอาหารจำพวกผักใบเขียว ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ โยเกิร์ต เนื้อปลา

    จัดการความเครียด
    ในช่วงเวลาที่ 85% ของเส้นผมบนศีรษะอยู่ในช่วงเจริญเติบโต เส้นผมจำนวน 15% บนศีรษะได้ถึงคราวหมดอายุลงแล้ว เส้นผมที่หมดอายุแล้ว หรือเส้นผมที่ตายแล้ว ก็จะหลุดร่วงจากเราไป แต่เรื่องเหลือเชื่อที่เป็นไปแล้วคือ ความเครียด ทำให้ระบบการเจริญเติบโตของเส้นผมตกใจสุดขีด ผลที่ตามมาคือ เส้นผมราว 30-40% หยุดเติบโตและเริ่มต้นตาย ปรากฏการณ์นี้จะเห็นผลในอีกสามเดือนต่อมา มีสภาพใกล้เคียงกับเวลาที่สุนัขถึงระยะที่มันต้องผลัดขน ดังนั้น หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงความคิดและความรู้สึกที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิด ความเครียด หรือเมื่อเกิดความเครียดแล้วควรหาวิธีบรรเทาและขจัดความเครียดให้หมดสิ้นไป โดยเร็ว เพื่อป้องกันภาวะผมร่วงก่อนวาระ

    อ่านฉลากยา
    ผู้ชายส่วนใหญ่ทราบดีว่า เคมีบำบัด ชักนำให้เกิดภาวะผมร่วง แต่ผู้ชายอีกจำนวนมากก็ไม่ได้ระวังว่ายารักษาโรคบางตัวก็เป็นสาเหตุให้ผม ร่วงได้เช่นกัน เช่น ยาลดการจับตัวของเม็ดเลือด (Blood thinners) ยารักษาโรคข้ออักเสบ ยาบางตัวที่ใช้เกี่ยวกับจิตเวช หากศีรษะที่มีเส้นผมดกหนาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณ วิธีป้องกันศีรษะล้านง่ายที่สุดคืออ่านฉลากยาก่อนใช้ หรือสอบถามแพทย์เพื่อข้อมูลที่ถูกต้อง

    รักษาความสะอาดส่วนตัว
    แม้จะไม่ใช่สาเหตุของผมร่วงโดยตรง แต่การละเลยความสะอาดอนามัยส่วนตัว ก็นำพาเชื้อรามาสู่หนังศีรษะได้ และเชื้อราบางชนิดก็เป็นสาเหตุให้ผมร่วง แค่รักษาความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะด้วยการสระผมด้วยแชมพู (ที่เหมาะกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะ) ก็ช่วยป้องกันการติดเชื้อของเชื้อราบนหนังศีรษะ (หนึ่งในกระบวนการทำให้ศีรษะล้าน) แต่อย่าสระผมมากหรือบ่อยจนเกินความพอดี เพราะสารสังเคราะห์ในแชมพูอาจทำร้ายต่อมไขมันโคนเส้นผม ซึ่งทำหน้าที่สร้างความชุ่มชื้นตามธรรมชาติให้เส้นผมและหนังศีรษะ

    ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    แม้ยังไม่มีการศึกษาระบุแน่ชัดระหว่างการออกกำลังกายและการป้องกันปัญหา ผมร่วงศีรษะล้าน แต่การออกกำลังกายเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยความเครียด ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย และเหงื่อที่ร่างกายขับออกมาขณะออกกำลังก็ช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างตามผิว หนังและหนังศีรษะ ช่วยให้รูขุมขนเส้นผมไม่อุดตันและได้หายใจสะดวกขึ้น

    ถ้าเกิดรู้สึกว่าผิดปกติมากจนเกินไป ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรงเป็นดีที่สุด  อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน เพื่อสุขอนามัยที่ดีของเรานะคะ

    วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    เคล็ดลับเพิ่มความสูง



    ใครๆ ก็อยากสูงกันทั้งนั้น พราะช่วยทำให้ดูมีบุคลิกภาพดีขึ้น ใส่อะไรก็ดูดีไปซะหมด แถมยังสะดวกคล่องตัวกว่าคนรูปร่างเล็กเป็นไหน ๆ แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีส่วนสูงที่อยากได้อย่างใจเสมอไป บางคนอาจเกิดมาตัวเล็กกว่าใคร ๆ จนคิดจะไปผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อเพิ่มส่วนสูงของตัวเองด้วยซ้ำ

              แต่ ก่อนที่จะทำลองคิดดูดี ๆ เสียก่อน ลองอ่านเคล็ดลับหากพยายามอย่างถูกวิธี ไม่แน่ว่าคุณอาจสูงขึ้น จนไม่ต้องพึ่งวิธีผ่าตัดที่ทั้งแพงแถมยังเจ็บตัวเลยก็ได้ 


    1. เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์

              ควรเน้นทานอาหารที่มีสารอาหารจำพวก วิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และน้ำให้มาก ๆ เพราะวิตามินหลาย ๆ ชนิดมีส่วนช่วยในการเติบโต เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 12 และ วิตามินดี เป็นต้น ส่วนแร่ธาตุต่าง ๆ อย่างแคลเซียมและฟลูออไรด์ก็ช่วยให้กระดูกของคุณแข็งแรงขึ้น ไม่เปราะหักง่าย

              นอกจากนี้ สารอาหารที่สำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้ในแต่ละมื้อคือโปรตีน เพราะเป็นสารอาหารหลักที่ช่วยในการเติบโต โดยสารอาหารจำพวกนี้สามารถหาได้จากนมและไข่ สุดท้ายคือน้ำ ที่จะช่วยให้เราขับของเสียออกจากร่างกายเพื่อรับสารอาหารใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นเราจึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 ถึง 8 แก้วเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง

    2. ทานอาหารให้พอดี

              ถ้าคุณอยากให้ส่วนสูงของตัวเองเพิ่มขึ้น ควรทานอาหารในปริมาณพอเหมาะ ถึงแม้ว่าคุณจะไดเอทอยู่ก็ไม่ควรลดปริมาณอาหารลง ควรลดอาหารจำพวกแป้งและไขมันให้น้อยลง แล้วทานอาหารอาหารอื่นเพิ่มแทน นอกจากนี้ควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจะได้ช่วยในการไดเอทของคุณ และการยืดเส้นยืดสายก็ช่วยทำให้คุณสูงขึ้นด้วย

    3. ทานให้ตรงเวลา

              ควรเลือกทานเป็นมื้อแทนการกินขนมจุบจิบระหว่างวัน และแต่ละมื้อก็ควรจะห่างกัน 4 - 5 ชั่วโมง เพื่อให้เวลาร่างกายเริ่มการสร้างเนื้อเยื่อที่ช่วยในการเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังไม่นานเกินไปจนทำให้คุณรู้สึกหิวระหว่างมื้ออีกด้วย
    4. พยายามยืดตัวบ่อย ๆ

              การยืดตัวสามารถช่วยให้คุณสูงขึ้นได้ คุณควรพยายามยืดตัววันละสองครั้งตอนตื่นนอนและก่อนเข้านอน ด้วยวิธีง่าย ๆ คือเมื่อตื่นแล้วก็อย่าเพิ่งลุกจากเตียง ให้ชูแขนทั้งสองข้างขื้นและยืดทั้งขาและแขนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จึง ค่อยลุก เพื่อเป็นการบิดขี้เกียจไปในตัว และอย่าลืมทำแบบเดียวกันก่อนจะเข้านอนทุกวัน
    5. ออกกำลังกายด้วย

              กีฬาเช่นว่ายน้ำ และบาสเกตบอล นอกจากจะสนุกแล้วยังสามารถช่วยทำให้คุณสูงขึ้นได้ แต่ถ้าใครเป็นคนไม่ชอบเล่นกีฬาแต่อยากให้ส่วนสูงเพิ่มขึ้นสักนิด คุณก็สามารถทำได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ ดังนี้ เริ่มแรกเอามือทั้งสองข้างอ้อมไปไว้ด้านหลังศรีษะ แล้วประสานมือเอานิ้วไขว้กัน วางไว้ที่หลังคอของตัวเอง จากนั้นก็ดันคอของคุณลงมาจนคางชิดกับอก ทำแบบนี้วันละ 20 ครั้ง ทำ 10 ครั้งแรก แล้วพักสัก 10 วินาที จึงค่อยทำอีก 10 ครั้ง

    6. นอนให้ถูกวิธี

              ควรพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 8 - 10 ชั่วโมง เพราะฮอร์โมนที่มีส่วนช่วยให้เราสูงขึ้นจะถูกผลิตออกมาในเวลาที่เราหลับสนิท เท่านั้น นอกจากนี้เวลานอนควรเลี่ยงการนอนงอตัว เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังคดงอ ร่างกายเติบโตได้ไม่เต็มที่ คนที่ติดหมอนข้างก็ควรพยายามเลิกซะ และพยายามเปลี่ยนมานอนหงายแทน เพราะท่าที่เราใช้ในการนอนกอดหมอนข้างนั้นทำให้ขาพาดไปมาจนกระดูกโตได้ไม่ เต็มที่

    7. ยืนตัวตรง ๆ

              การเดินหลังค่อมหรือยืนหลังงอเป็นประจำจะทำให้กระดูกคดงอผิดรูปร่าง ทำให้กระดูกไม่โต แถมยังทำให้เสียบุคลิกภาพ ดูเตี้ยลง อ้วนขึ้น แล้วยังดูขาดความั่นใจอีกด้วย นอกจากนี้ พอแก่ตัวไปกระดูกของคุณอาจคดจนไม่สามารถกลับมายืนตัวตรงได้อีก เพราะฉะนั้นพยายามฝืนตัวเองให้ยืนตรงบ่อย ๆ จนชิน เพื่อบุคลิกภาพที่ดี และส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น

    วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    สาเหตุที่ทำให้อ้วน



    ความหิวนั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับสาวๆ เมื่อได้เกิดอาการ หิว หรือ โหย การกินก็จะเยอะเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดน้ำหนักและก็ทำให้อ้วนตามมา ปัญหานี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ "กินไปก่อน เดี๋ยวมื้อต่อไปค่อยลด" สรุปก็เอาเกมส์ข้ออ้างนี้ใช้กับทุกๆรอบที่รับประทานอาหาร ดังนั้น เรามาคิดกันสักนิดว่า ที่กินไปหิวจริง?? หรือโหย แค่ที่จะทานเพื่อคั่นเวลา เรามาดูกันว่าพฤติกรรมของสาวๆแต่ละคนยังเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า


    1.ดื่มซอฟดริ๊งค์มากเกินไป

              เช่น น้ำโซดา ไอซ์ที และซอฟดริ๊งค์หวาน ๆ ซึ่งมีน้ำตาลฟรุคโตสไซรัปมากเกินไป จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่า ศูนย์ความหิวในสมองของเราจะถูกกระตุ้นโดยน้ำตาลฟรุคโตส แม้ว่าเราจะอิ่มแล้วก็ตาม เนื่องจากน้ำตาลฟรุคโตสจะไปยับยั้งฮอร์โมน Leptin ซึ่งมีหน้าที่บอกว่ากินอิ่มแล้ว

    2.กินอาหารเช้าไม่อิ่ม

              นักวิชาการได้ทำการศึกษาพฤติกรรมการกินกับอาสาสมัครจำนวน 6,764 คน เป็นเวลา 4 ปี ผลปรากฏว่า คนที่กินอาหารเช้าประมาณ 300 แคลอรี มีน้ำหนักขึ้นหนึ่งเท่าตัวมากกว่าคนที่กินอาหารเช้ามากกว่า 500 แคลอรี เหตุผลก็คือ การกินอาหารเช้าให้อิ่ม จะทำให้น้ำตาลในเลือดและอินซูลินไม่พุ่งสูงระหว่างวัน เพราะถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำจะไม่ก่อให้เกิดความหิวโหย

    3.กินผักสลัดน้อยเกินไป

              ผักสลัดมีกรดโฟลิกสูง มีผลในการต่อสู้กับโรคซึมเศร้า ไม่ทำให้ง่วงและไม่ทำให้น้ำหนักขึ้น จากการศึกษาได้พิสูจน์ไห้เห็นว่า คนที่ไดเอ็ตแล้วมีระดับกรดโฟลิกสูงสุดในเลือด ลดน้ำหนักได้ 8.5 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่มีค่ากรดโฟลิกต่ำสุด ทั้งนี้ในผักสลัดสีเขียวมีวิตามินเคสูงมาก ซึ่งจะไปควบคุมความรู้สึกหิวที่ดีที่สุดคือ ผักโขม กะหล่ำปลี


     4.ดื่มชาน้อยเกินไป

              จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน "Journal of the American College of Nutrition" พบ ว่า หากดื่มชาดำหลังกินคาร์โบไฮเดรต จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ภายในประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง หมายความว่าการดื่มชาจะทำให้รู้สึกอิ่มนาน เนื่องจากสารโพลีฟีนอยในชาจะกดความรู้สึกหิวเอาไว้

    5.ดื่มน้ำน้อยเกินไป

              ความรู้สึกกระหายน้ำเหมือนกับความรู้สึกหิว ถ้าคุณกินอาหารอย่างเดียวโดยไม่ดื่มน้ำ และยังรู้สึกหิวอยู่ล่ะก็ ให้คุณดื่มน้ำหนึ่งแก้ว ก่อนที่คุณจะตักอาหารจานต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่ความรู้สึกหิวจะหายไปเอง

    6.กินอาหารกระป๋องมากเกินไป

              อาหารกระป๋องบางอย่างมีสารเคมี Bisphenol A ซึ่งนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า มันทำให้ฮอร์โมน Leptin ในร่างกายสูงผิดปกติ จึงทำให้หิวโหยและอ้วนนาน

    7.คุณรู้สึกเบื่อ

    เรามีวิธีทดสอบว่า คุณหิวหรือรู้สึกเบื่อกันแน่ โดยให้คุณนึกภาพอาหารจานโปรด ถ้าคุณหิวจริง ๆ คุณจะรู้สึกว่าอาหารจานนั้นน่าอร่อย แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ค่อยน่ากิน แสดงว่าคุณกำลังเบื่อมากกว่าหิว แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณกินในมื้อต่อไปนะ ลองเอาทริคนี้ไปใช้กันดูนะคะ

    วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    ปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์


    ผัก หมายถึง พันธุ์ผักพื้นบ้าน หรือพันธุ์ไม้พื้นเมืองทั่วไป ในท้องถิ่นที่ชาวบ้านนำมาบริโภค อาจเรียกได้ว่า เป็นผักตามวัฒนธรรม การบริโภคของท้องถิ่น ที่ได้จากแหล่งธรรมชาติ หรือที่ชาวบ้านนำมาปลูกไว้ใกล้บ้าน เพื่อสะดวกในการเก็บมาบริโภค ซึ่งผักเหล่านี้ มักจะปลอดสารพิษ ซึ่งวิธีการปลูกผัก 
     เกมส์ปลูกผัก ก็ถูกพัฒนามาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเทคนิคที่จะแนะนำวันนี้ ก็คือ

    ขั้นตอนการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์



    1.      การเตรียมพื้นที่และโต๊ะปลูก  ประกอบโต๊ะปลูกและติดตั้งตามวิธีการประกอบชุดไฮโดรโปนิกส์  และนำโต๊ะปลูกมาวางในตำแหน่งที่ได้รับแสงแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง/วัน


    2.      พันธุ์และเมล็ดพันธุ์ผัก  เมล็ดพันธุ์ผักมี 2 ชนิดคือ 
    2.1  เคลือบดินเหนียว  เนื่องจากเมล็ดผักมีขนาดเล็ก  ทำให้เป็นอันตรายและสูญเสียได้ง่าย  จึงมีการเคลือบเมล็ดด้วยดินเหนียว  เมล็ดที่เคลือบจะมีอายุการเก็บรักษาสั้น  เนื่องจากได้มีการกระตุ้นการงอกมาแล้ว  แต่จะสะดวกสำหรับการใช้งาน
    2.2    ไม่เคลือบ  คือเมล็ดพันธุ์ปกติ

    3.      การเพาะต้นกล้า  นำวัสดุปลูก เช่น เพอร์ไลท์ เวอร์มิคูไลท์ ใส่ถ้วยเพาะและนำเมล็ดผักใส่ตรงกลางถ้วย  กลบเมล็ดและรดน้ำให้เปียกและเก็บไว้ในที่ปลอดภัย  รดน้ำทุกวัน  ประมาณ 3-5 วัน เมล็ดเริ่มงอก  และเริ่มให้สารละลายอ่อนๆ แทนน้ำ


    4.      การปลูกบนราง ขนาด 1.5 เมตร 
    4.1  ตัวอย่างเติมน้ำ 10 ลิตร  และเติมสารอาหาร A และ B อย่างละ 100 ซีซี  หรือ 10 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร 
    4.2  นำต้นกล้าที่แข็งแรง  อายุประมาณ 2 สัปดาห์  ย้ายมาวางบนโต๊ะปลูก  และเดินเครื่องปั๊มน้ำ

    5.      การดูแลประจำวัน
    5.1    รักษาระดับน้ำให้อยู่ในระดับควบคุมอยู่เสมอ เช่น 10 ลิตร
    5.2  ควบคุมค่า EC อยู่ระหว่าง 1-1.8  โดยเครื่อง EC meter  ปรับลดโดยการเพิ่มน้ำ  และปรับค่า EC เพิ่มโดยการเพิ่มปุ๋ย  กรณีไม่มีเครื่องวัดสามารถประมาณการเติมสารอาหาร A และ B ดังตาราง
    5.3  ควบคุมค่า pH อยู่ระหว่าง 5.2-6.8  โดยเครื่อง pH meter  หรือ pH Drop  test  ปรับลดโดยการกรดฟอสฟอริก  หรือกรดไนตริก (pH down)  และปรับค่า pH เพิ่มโดยการเติมโปตัสเซียมไฮดรอกไซด์ (pH up) ปริมาณ 2-3 หยด

    6.      การเก็บเกี่ยว  เก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 45 วัน

    วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    ที่มาของ หินทราย

    หินทรายเป็นหินตะกอนประกอบด้วย เมล็ดเล็กปูนโดยวัสดุซึ่งเป็นทราย, felspathic หรือปูนซีเมนต์ ความคงทนของหินขึ้นอยู่กับวัสดุอัดซีเมนต์ เป็นหินทรายที่เกิดขึ้นในชั้น และมีการใช้งานที่แตกต่างกันเป็นอาคารหิน ตะกอนเนื้อหยาบเกิดจากการรวมตัวของทราย และซีเมนต์ร่วมกันโดยธรรมชาติ  
    มันเป็นวัสดุที่ประกอบด้วยมวลรวมของทรายเงิน โดยการเคลื่อนที่ของน้ำ และการพัดพาไปของลม บางส่วนของหินทรายจึงเป็นเนื้อเดียวกัน และอ่อนนุ่มกว่า หินทรายจึงสามารถรับการแกะสลัก และงานสกัดลวดลายเป็นเส้น เป็นรูปภาพสวยงามได้ สีของหินส่วนใหญ่จะถูกกำหนดโดยวัสดุอัดซีเมนต์ คือพวก

    - เหล็กออกไซด์
    - หินทรายสีแดงหรือสีน้ำตาลแดงและวัสดุอื่น ๆ ในการผลิตหินทรายสีขาว, สีเทาหรือสีเหลือง 
    เกี่ยวกับหินทราย

    - ธรรมชาติหินทราย เชื่อว่าเป็นหินที่อายุน้อยที่สุดของหินควอทซ์

    - หินดังกล่าวที่แต่ละคนมีระดับที่แตกต่างกัน ของความพรุนความแข็งและแรงอัด พื้นผิวของมันคือสำคัญและเมล็ดขนาดกลางจะมีขนาดเท่ากันทั้งหมด 
    สีของหินทรายเป็นตัวแปรและขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของวัสดุที่มีผลผูกพันและดังนั้นจึงแตกต่างกันจากสีแดง, สีน้ำตาล, สีเขียว, สีเหลือง, สีเทาและสีขาว

    ประโยชน์ของหินทราย

    หินทรายเหมาะกับการใช้ภายในประเทศ และการค้าระหว่างประเทศ เป็นอย่างมาก ได้รับรางวัลด้านความงามของธรรมชาติที่ทำให้มันมีประโยชน์สำหรับการตกแต่ง ภายใน รวมทั้งการตกแต่งภายนอก เนื่องจากมีคุณสมบัติสถาปัตยกรรม, หินทรายพบ สื่อที่เหมาะสมที่จะใช้ในการหุ้มผนังและพื้นและปั่นออกช่วง enamoring ของ handcrafted artifacts เช่นตกแต่งสวนรูปปั้นและของตกแต่งอื่น ๆ

    พื้นผิวหินทรายและองค์ประกอบอาจถูกใช้เพื่อแปลความหมายอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับประวัติ ของทรายรวมถึงพื้นที่แหล่ง lithology, paleoclimate, กิจกรรมเปลือกโลกกระบวนการทำหน้าที่ในแอ่งสะสมตัวและระยะเวลาในอ่าง โปรดจำไว้ว่าพื้นที่ที่มาเป็นดินแดนที่มีสภาพดินฟ้าอากาศและ eroding เพื่อจัดหาเศษ terrigenous เพื่อลุ่มน้ำสะสม

    วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    วิธีดูแลแอร์รถยนต์ขั้นเทพ

    แอร์คือสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งซึ่งมีอยู่ในทั้งรถใหม่และรถมือสองทุกคัน เพื่อสร้างความเย็นและระบายอากาศภายในตัวรถ แต่คงลืมไปว่า การดูแลก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ซึ่งมีวิธี เพื่อยืดอายุการใช้งานของแอร์รถยนต์ ดังนี้


    1. ตรวจเช็คระบบปรับอากาศรถยนต์ของคุณทุกๆ 3-6 เดือนจากร้าน
    หรือศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน

    2. ควรหมั่นสังเกตระบบแอร์รถยนต์ของคุณด้วยตนเอง
    หากแอร์ในรถของคุณความเย็นเริ่มลดลง ให้สันนิษฐานว่า
    อาจมีการรั่วของน้ำยาแอร์ หรือท่อต่างๆในระบบอุดตัน
    ให้รีบนำรถของคุณเข้าตรวจเช็คโดยด่วน

    3. ต้องแน่ใจว่ารถยนต์ของคุณใช้ระบบปรับอากาศระบบ R-12
    หรือระบบ R-134a กันแน่ เพื่อป้องกันการผสมกันของน้ำยาแอร์

    4. อย่าผสมน้ำยาแอร์ระบบ R-12 และ R-134a เข้าด้วยกัน
    เพราะจะทำให้ระบบแอร์รถยนต์ของคุณเสียหายได้

    5. น้ำมันคอมเพรสเซอร์ของระบบ R-12 และ R-134a ไม่สามารถใช้แทนกัน

    6. หากคุณไม่แน่ใจว่ารถยนต์ของคุณใช้ระบบ R-12 หรือ R-134a ให้เปิดตรวจเช็คจากห้องเครื่องที่กระโปรงรถของคุณ โดยดูที่หัวเติมน้ำยาแอร์ ถ้าเป็นระบบ R-12 หัวเติมจะเป็นแบบเกลียว แต่ถ้าเป็นระบ R-134a หัวเติมจะเป็นแบบตัวล๊อค

    7. จำไว้ว่ารถยนต์ที่ผลิตก่อนปี พ.ศ.2538 ใช้กับแอร์ระบบ R-12 เท่านั้น
    ส่วนรถยนต์ที่ผลิตหลังปี พ.ศ.2538 เป็นต้นไปจะใช้ระบบแอร์ R-134a
    (ยกเว้นรถกระบะต้องผลิตหลังปี พ.ศ.2539)

    8. การรั่วซึมในระบบแอร์รถยนต์ อาจเกิดจากการหมดอายุการใช้งานของอะไหล่ได้

    9. หากคุณต้องเติมน้ำยาแอร์บ่อยติดๆกันในเวลา 3 เดือน
    อาจเกิดการรั่วในระบบแอร์ของคุณเข้าแล้ว

    10. ระมัดระวังอย่าใช้น้ำยาแอร์ที่ติดไฟได้

    11. การถ่ายเทอากาศ การสูบบุหรี่ในรถ ขณะเปิดแอร์ จะทำให้อากาศภายในรถไม่บริสุทธิ์ จึงควรเปิดช่องระบายอากาศเพื่อไล่ควันบุหรี่ออกไป และเมื่อใช้แอร์เป็นระยะเวลานานๆ การเปิดช่องระบายอากาศเป็นระยะ จะทำให้อากาศบริสุทธิ์ขึ้น

    12. เมื่อไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานานหลายวัน
    ควรติดเครื่องยนต์แล้วเปิดแอร์ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที
    เพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้ำยาแอร์ที่ซีลคอมเพรสเซอร์

    13. ควรจอดรถยนต์ในที่ร่ม การจอกรถกลางแดดนาน จพทำให้ภายในรถร้อนอบอ้าว ต้องใช้เวลานานกว่าจะเย็นลงได้ ในกรณีนี้ควรเปิดประตูหรือกระจกไว้สักครู่ ก่อนจะขับรถออกจากที่จอดรถ

    14. ควรปิดช่องระบายอากาศและกระจกให้มิดชิด ขณะใช้เครื่องปรับอากาศ
    เพื่อป้องกันมิให้ลมร้อนภายนอกไหลเข้ามาภายในตัวรถ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ความเย็นลดลงได้

    15. ในการขับรถขึ้นเขา เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น ควรปิดเครื่องปรับอากาศเป็นครั้งคราว เพื่อลดภาระของเครื่องยนต์และป้องกันเครื่องยนต์ร้อนเร็วขึ้นด้วย

    16. ควรทำความสะอาดแผงระบายความร้อนที่อยู่หน้าหม้อน้ำ โดยใช้ลมเป่าหรือใช้น้ำฉีดแล้วใช้แปรงขนอ่อนๆ แปรงสิ่งสกปรกที่อยู่ตามครีบออกให้สะอาด


    วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    อาหารก็...กำหนดชะตาชีวิตได้นะ





    อาหารก็...กำหนดชะตาชีวิตได้นะ หลัก การง่ายๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รับประทานผักผลไม้ให้มากๆ หลายคนต่างรู้ดี แต่กลับบริโภคตามใจปาก ถ้าไม่ป่วยก็ไม่รู้ซึ้ง ดังนั้น มารู้จักการบริโภคอาหาร เพื่อป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ากินน้อยจะตายยาก กินมากจะตายง่าย คุณจะเลือกแบบไหน
    ชีวิตของคุณ ถูกกำหนดโดยอาหารที่คุณกิน ถังขยะหน้าบ้านบอกได้ว่า คุณทิ้งอะไรลงไป กินอะไรเข้าไป ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป เราเอง คนที่ประสบปัญหาการรับประทานอาหารดีเกินไป แพงเกินไป มากเกินไป สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ น้ำหนักตัวที่เกินมา โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ต้องการ ทุกอย่างน่าจะแก้ไขได้ทัน หากวันนี้ เราหันมาใส่ใจสุขภาพ เพราะอาหารนั้น สามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ อย่างน้อย ถ้าอยากมีสุขภาพกาย-ใจ ดี ผิวพรรณผ่องใสจากข้างใน เลือดลมเดินดี ไม่มีโรค โดยไม่ต้องอาศัยครีมหน้าเด้ง หรือยาลดความอ้วน หรือทำมาหาเลี้ยงหมอทุกเดือน ขั้นแรกต้องเป็นหมอดูแลเรื่อง อาหารการกินของตัวเราเองก่อน 


    1. ลองเช็คตัวเองซิว่า ตอนนี้สุขภาพเป็นอย่างไร

    ถ้า เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเช้า เราลุกจากเตียงเหมือนติดสปริงหรือเปล่า? ลุกขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นมีชีวิีตชีวาหรือไม่ ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดัง เรายังไม่ลืมตา เอามือไปกดแล้วนอนต่อ เพราะลุกไม่ไหว จนนาฬิกาปลุกตัวที่สองดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณแล้วว่า ต้องกลับมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิตเสียใหม่ เริ่มต้นจากการกิน " จำไว้ว่าถ้าเรา กินน้อยจะตายยาก กินมากตายง่าย "

    2. เริ่มต้นจากการทำใจ

    ไม่ จำเป็นต้องไปถือศีลกินเจ เคร่งจนวันหนึ่งตบะแตก เพียงแค่เริ่มต้นจากการค่อยๆ ลดสัตว์ใหญ่ ที่เราโปรดปราณ เช่น เนื้อวัว-ควาย ถ้าทำได้แล้ว ก็ลดเนื้อไก่-เป็ด ลดเนื้อปลาลงไปตามลำดับ หากทำใจไม่ได้ ก็อนุญาตให้หม่ำปลาต่อไป ตามด้วยผักผลไม้มากๆ เริ่มจากกินสัตว์ที่ตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ ขอให้คิดว่า กินหมูดีกว่ากินวัว กินไก่ดีกว่ากินหมู กินปลาดีกว่ากินไก่ ทำได้ดังนี้ สุขภาพเรา ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ 

    3. คลอโรฟิลล์ในร่างกายมนุษย์

    เราจำเป็นที่จะต้อง ทานผัก ผลไม้เพราะในนั้นมีคลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติในการฟอกเลือด สังเกตเลือดของคนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ สีของเลือดจะสวย ใส ไม้ข้น เหมือนคนที่กินเนื้อสัตว์ เพราะเลือดมีสภาวะเป็นด่าง พืชผักผลไม้มีสารอาหาร ที่มีสภาวะเป็นด่าง แต่เนื้อสัตว์กับเลือดของสัตว์เป็นกรด ถ้ากินมาก เลือดเราจะไม่สมบูรณ์ หากเลือดข้นก็จะวิ่งตามเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่สะดวก เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆได้  การวัดค่าของเลือด เรียกว่า            คาโลทีนอย   การที่เรากินผักและผลไม้มากเท่าไหร่ เราก็จะมีคาโลทีนอยมากขึ้นเท่านั้น ป้องการโรคมะเร็ง และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ  ผักผลไม้จะมีสีสันต่างๆ มากมาย อย่างสีส้มในแครอท สีส้มในมะละกอ สีเหลืองในมะม่วงสุก พวกนี้จะมีเบต้าแคโรทีน สารสีเหล่านี้จะมีแอนตี้ออกซิแดนซ์

    4. ผัก 5 ชนิด ถั่ว 5 สี
     
    ถั่ว 5 สี ช่วยบำรุงร่างกาย เช่น ถั่วแดง บำรุงหัวใจ รวมทั้งแตงโม, บีทรูต ฯลฯ จะช่วยบำรุงเลือด การไหลเ่ีวียนของโลหิต ถั่วดำ รวมไปถึง งาดำ ฯลฯ จะบำรุงเส้นผม ผิวหนัง ชุ่มชื้น มันวาว ผมดกดำมัน ผมร่วง เชื้อราบนหนังศีรษะ รากผมแข็งแรง ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ถั่วซีด หรือ ถั่วขาว เช่น ถั่วลิสง, ลูกเดือย, แมกคาเดเมีย บำรุงกระดูก ให้แคลเซียม บำรุงกระดูกข้อมือ บำรุงฟัน ถั่วเหลือง ให้โปรตีน ถั่วเขียว บำรุงอวัยวะภายในร่างกาย
    ถั่ว 5 สีนี้ รวมทั้งผัก 5 สี ควรจะรับประทานให้ครบถ้วน และนมถั่วเหลือง มีประโยชน์ต่อร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จีนเปิดเผยว่า ดื่มน้ำเต้าหู้สดๆ ที่ทำใหม่ๆ วันละ 1 แก้ว สามารถช่วยฟอกพิษในร่างกายได้ แต่ต้องไม่ใช่น้ำเต้าหู้พาสเจอร์ไรซ์ที่ใส่สารกันบูด ที่มีขายเป็นกล่องๆ โดยทั่วไป

    อยากอายุยืน ผิวพรรณสดใส อ่อนวัยไปนานๆ คงต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทาน และสิ่งสำคัญคือ การออกกำลังกาย ตามแบบที่เราถนัด ไม่ว่าจะเป็นวิ่งเหยาะๆ เล่นโยคะ ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การทำงานบ้านเพื่อให้เหงื่อออก โลหิตไหลเวียนสะดวก เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ที่ไม่จำเป็นในชีวิตอีกหลายอย่าง

    วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    สูตรเด็ดแกแฮ้งเหล้า


    ตกเย็นเที่ยวกินเหล้า  พอตอนเช้าเกิดอาการแฮ้ง ไปทำงานไม่ไหว  ไม่ดีแน่ถ้ายังเป็นอย่างนี้  วันนี้เรานำสูตรแก้แฮงค์มาฝากสำหรับนักดื่มทุกท่าน ว่าทำอย่างไรถึงจะหายมึนแล้วกลับมาสดชื่นเหมือนเดิมได้ แต่ถ้าจะให้ดีอย่าดืมกันจนแฮงค์เลยน่ะค่ะ เอาพอหอมปากหอมคอพอ

    1. ก่อนดื่มเหล้า ประมาณ 1 ชั่วโมง กินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน รองท้องไว้ก่อน ถ้าเป็นไปได้ ควร ทำแกงประเภทจับฉ่าย ซึ่งมีกะหล่ำปลีเยอะๆ กินไว้ก่อน
    2. ระหว่างดื่มเหล้า เลือกเหล้าขาวๆ หรือสีจางไว้ก่อน ควรจะผสมน้ำ ไม่ควรผสมโซดา เพราะ โซดาจะทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านไปถึงสมองเร็วขึ้น ระหว่างกินเหล้าควรกินถั่วหรือของว่างประเภท โปรตีนพร้อมๆ กันไปด้วย
    3. หลังดื่มเหล้า ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ (เช่น ดอกคำฝอย ลูกใต้ใบ เป็นต้น) 2-3 แก้ว ก่อนนอนกิน ของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือน้ำผึ้ง และเมื่อตื่นเช้า อาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำหรือดื่มชาสมุนไพร น้ำมะนาว คั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ ถ้าเรอได้เมื่อไหร่ ก็หายเมาค้างแน่นอนครับ
    4. ควรจะหาวิตามิน บี 6 ติดกระเป๋าเอาไว้ ระหว่างการดื่มก็กินวิตามินสักครั้งหนึ่ง เพราะภาย หลังจากงานเลิกคุณจะไม่มีอาการมึนเมา หรือถ้ามีก็ไม่มากจนทำให้คุณควบคุมตัวเองไม่ได้ วิตามิน บี 6 ช่วยลด อาการเมาค้างลงได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งเมื่อคุณตื่นเช้าขึ้นมา มันจะช่วยไม่ให้คุณทรมานจากอาการปวดหัวเนื่องจาก เมาค้าง นอกจากนั้นเมื่อตอนกินเหล้า ก็ควรจะกินของหวานเป็นกับแกล้มไปด้วย เพื่อเป็นการชดเชยน้ำตาลในร่าง กายที่สูญเสียไป
    5. รางจืด...แก้เมาได้ชะงัดนักแล สรรพคุณรางจืดตามตำรายาไทยกล่าวไว้ว่า รางจืดรสเย็นใช้ปรุง เป็นยาเขียวถอนพิษไข้ ถอนพิษสำแดง และพิษอื่นๆ ใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ สำหรับในหมู่นักเลงเหล้ารุ่นเก๋ากึ๊ก ย่อมรู้ดีว่ารางจืดช่วยถอนพิษสุราด้วย จากประสบการณ์ผู้ใช้ สิ่งที่ยอมรับคือ หากดื่มสุราจัดเกินขนาดแล้วเกิดอา การแฮงก์โอเวอร์หรือเมาค้าง รางจืดถอนได้แน่ หรือตามประสบการณ์ในวงเหล้า หากเคี้ยวหรืออมเถารางจืดไว้ ใต้ลิ้น ดื่มเหล้ามากแต่จะเมาน้อย สรรพคุณที่ฮิตที่สุดของรางจืดในปัจจุบันเห็นทีจะไม่พ้นการแก้อาการเมาค้าง หรือดื่มหนัก วิธีใช้ว่ากันตามแบบฉบับคลาสสิก ใช้ได้ทั้งการกินสดๆ และแห้ง คือ เอาใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำ ผสมน้ำ ถ้าได้น้ำซาวข้าวยิ่งดี แล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสดตำคั้นก็ได้ ส่วนวิธีแห้ง ซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานี้ คือ การนำใบแห้งมาชงกับน้ำดื่มเหมือนชงชาจีนนั่นแหละ ส่วนความเข้มของยาแล้วแต่จะ ชงอ่อนชงแก่ ปัจจุบันมีผู้นำชารางจืดมาทำการค้าหลายราย สามารถเลือกใช้ตามดุลพินิจ

    วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    คุณมีความรักแบบไหน


    รักคืออะไร  คงเป็นคำถามที่มีคำตอบมากมายหลากหลาย เพราะความรักไม่มีแบบแผนที่ตายตัว หลายคนรักแล้วเศร้า หลายคนรักแล้วมีความสุข  แล้วคุณล่ะมีความรักแบบไหน
    1. ความรักแบบเสน่หา (Eros)

            ความ รักเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต แม้จะไม่มากพอที่จะทำลายตนเอง หรือรู้สึกถูกใจอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น คล้ายรักแรกพบ ความดึงดูดใจซึ่งกันและกัน การแสดงออกมาทั้งคำพูดและการแสดงความใกล้ชิด อยากเจอกันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ วาดฝันเกี่ยวกับอีกฝ่ายไว้งดงาม และไม่ได้คาดการณ์ถึงอุปสรรคใดๆ

            คู่ รักประเภทนี้พยายามพัฒนาสัมพันธภาพกับคู่ของตนอย่างรวดเร็ว โดยการเปิดเผย ซื่อสัตย์ และจริงใจ ใส่ใจคู่รักมากเป็นพิเศษ แต่ไม่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรือกลัวว่าจะมีคู่แข่ง

    2. ความรักแบบไม่ผูกมัด (Ludus)

            ความ รักเป็นเกมชนิดหนึ่ง เพื่อความบันเทิงของทั้งสองฝ่าย หลีกเลี่ยงการผูกมัด สามารถผลัดเปลี่ยนคู่ไปได้เรื่อยๆ พยายามที่จะไม่สร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับใคร เพื่อรักษาความเป็นอิสระของตน ถึงแม้จะไม่ต้องการทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด แต่การโกหกและความไม่จริงใจถือว่าเป็นการเล่นตามกติกาที่มี

            ความ รักแบบนี้จะไม่หึงหวง หรือแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และอาจเห็นชอบให้คู่ของตนมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ ทั้งนี้เพื่อสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ของตน

     3. ความรักแบบมิตรภาพ (Storge)

            ความ รักพัฒนามาจากมิตรภาพ เป็นความรู้สึกรักใคร่อันเนื่องมาจากการคบหากันมาเป็นเวลานาน  ไม่ได้มีความ รู้สึกตื่นเต้น เร่าร้อน แต่เน้นการกระทำที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกันและมีกิจกรรมร่วมกัน ความรักเป็นสิ่งที่มั่นคง ที่ผนวกเข้าไปกับการดำรงชีวิตตามปกติ

    4. ความรักแบบลุ่มหลง (Mania)

            ผู้ ที่มีความรักแบบนี้จะใฝ่หาความรัก แต่เชื่อว่าความรักเป็นความเจ็บปวด ปรารถนาความใกล้ชิดและต้องการความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ต้องการให้คู่รักของตนแสดงความรักมากกว่าปกติ เมื่อใดที่คู่รักไม่ได้แสดงความใส่ใจ หรือไม่แสดงความรักตามที่ปรารถนา อาจจะทำร้ายตนเอง เพื่อเอาชนะความรัก คู่รักประเภทนี้เชื่อว่า เมื่อปราศจากความรักจากอีกฝ่าย ชีวิตก็ไม่มีคุณค่าอีกต่อไป

    5. ความรักแบบมีเหตุผล (Pragma)

            เป็น ความรักที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความเป็นจริง ผู้ที่มีความรักแบบนี้จะแสวงหาคู่ที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด เชื่อว่าความสัมพันธ์จะราบรื่นก็ต่อเมื่อคู่รักสามารถตอบสนองความต้องการ พื้นฐานของกันและกัน ได้แสวงหาคนที่มีลักษณะคล้ายตนหรือต่างจากตน แต่ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาด การเลือกคู่จะมีลักษณะคล้ายรักเผื่อเลือก ทั้งนี้ก็เพราะคาดหวังสัมพันธภาพที่ยั่งยืน

    6. ความรักแบบเสียสละ (Agape)

            เป็น ความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ต้องการเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ มีความห่วงใย และคำนึงถึงความสุขของคู่รักเป็นสำคัญ โดยไม่ใส่ใจกับความต้องการของตนเอง "การให้" เป็นปัจจัยสำคัญของความรักแบบนี้ นักจิตวิทยาได้ทำการศึกษาพบว่า ในชีวิตจริงคู่สมรสจะมีรูปแบบความรักที่คล้ายคลึงกัน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคู่ที่มีความสัมพันธ์ยาวนานกับคู่ที่เลิกราไป พบว่าประเภทแรกจะมีความรักแบบเสน่หาสูงกว่า และมีความรักแบบไม่ผูกมัดต่ำกว่าประเภทหลัง รูปแบบของความรักอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และลักษณะของบุคคลที่เรามีความสัมพันธ์ด้วย 

    วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

    การดูแล "จุดซ่อนเร้น" ของสาวๆ





      การดูแลทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นหรือน้องจิ๋ม คุณสาวๆค่ะอย่ามองข้ามกันเลยทีเดียว เพราะถ้าล้างไม่สะอาด ดูแลไม่ถูกวิธี โรคไม่พึงประสงค์จะถามหาเอาได้นะค่ะ เราจึงมีเคล็ดลับในการดูแลทำความสะอาดน้องจิ๋มของคุณสาวๆมาฝากกัน      ทำความสะอาดทุกวัน เช้าและเย็นด้วยน้ำและสบู่ แล้วซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวที่สะอาดและอ่อนนุ่ม ไม่ควรเช็ดถูแรงๆ เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้ละเอียดอ่อนมาก

          บริเวณซอกหลืบและรอยพับของแคมนอก ถ้ามีคราบไคลหมักหมม ก็ให้ล้างด้วยน้ำอุ่นๆ หรือจะใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำอุ่นเช็ด หากจะใช้น้ำยาอนามัยควรเลือกที่มีความเป็นกรดด่างใกล้เคียงกับผิวหนัง คือประมาณ 5.5

          ไม่สวนล้างช่องคลอด ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง และสารเคมีในน้ำยาจะไปทำลายแบคทีเรีย "แลคโตแบซิลลัส" ซึ่งช่วยปรับสภาพในช่องคลอดให้เป็นกรดอ่อนๆ ทำให้เชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายไม่สามารถเจริญเติบโตได้และ ช่องคลอด จะมีการทำความสะอาดภายในตัวเองอยู่แล้ว โดยขับออกมาเป็นตกขาวซึ่งมีน้อยมากต่างกันไป

          ขนอ่อนๆ ภายนอกนั้น ธรรมชาติมีไว้เพื่อความสวยงามและป้องกันไม่ให้ความชุ่มชื้นระเหยออกมา จึงไม่ควรถอนโกน หรือย้อมสี เพียงแค่เล็มตัดแต่งก็พอแล้ว

         ช่วงเวลาที่มีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ และการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดควรเลือกที่สะอาดปลอดภัยและได้มาตรฐาน และไม่ควรเก็บผ้าอนามัยในที่อับชื้น เพราะจะทำให้เป็นเชื้อราได้ง่าย และการใช้ผ้าอนามัยแผ่นเล็กๆ ทุกวัน จะทำให้อับชื้นและติดเชื้อได้

          กางเกงในควรมีเนื้อผ้าบางเบา เพื่อช่วยลดความอับชื้นของอวัยวะเพศ ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป และซักตากให้แห้งก่อนนำมาใช้ เพราะจะช่วยฆ่าเชื้อรา และไม่ควรใช้กางเกงในร่วมกับคนอื่น

           ทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ควรใช้น้ำล้างให้สะอาดแล้วใช้กระดาษชำระซับให้แห้ง โดยเช็ดจากอวัยวะเพศไปทวารหนัก เพื่อไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักติดต่อมายังช่องคลอด

          ควรรู้จักสังเกตความผิดปกติต่างๆ บริเวณอวัยวะเพศ เช่น คันในช่องคลอด ตกขาวมากจนผิดสังเกต อวัยวะเพศมีกลิ่นเหม็นมาก ตกขาวมีสีผิดไปจากเดิม หรือเวลาปัสสาวะแล้วรู้สึกเจ็บเหมือนปัสสาวะไม่สุด ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง