วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

ไม่มีคำว่าสายเกินไป


กานดาวศรี มีอาชีพพยาบาล คราวหนึ่งป่วยหนักถึงกับเข้าสู่ภาวะโคม่าเนื่องจากครรภ์เป็นพิษ เธอเล่าว่าในขณะที่หมดสติอยู่นั้น 
 

>
เธอได้ยินเสียงผู้คนรอบตัว และรู้ว่าหมอและพยาบาลพูดอะไรกันบ้างขณะที่อยู่ข้างเตียงเธอ ประสบการณ์ เกือบ ๓๐ ปีในการเป็นพยาบาล ทำให้เธอรู้ว่ามีผู้ป่วยขั้นโคม่าหลายคนที่มีประสบการณ์คล้ายเธอ บางคนเล่าว่าได้ยินเสียงพระสวดมนต์จากเครื่องอัดเสียงที่ลูกเปิดไว้ข้าง ศีรษะขณะที่หมดสติ บางคนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของญาติมิตร เช่น น้ำตาไหล หรือถึงกับพนมมือ ตามความเข้าใจของคนทั่วไป ผู้ที่หมดสติ หรือ เข้าสู่ภาวะโคม่า ย่อมไม่สามารถรับรู้อะไรได้ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรกับเขา ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้หรือมีทีท่าตอบสนอง แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ อย่างน้อยก็มิได้เป็นเช่นนั้นในทุกกรณี การที่เขาไม่สามารถตอบสนองออกมาได้ มิได้หมายความว่า เขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย เป็นแต่ร่างกายของเขาไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ได้อย่างคนทั่วไปเท่านั้น

 
    มีผู้ป่วยบางคนที่เจ็บป่วยด้วยความผิดปกติทางสมอง และเข้าสู่ภาวะโคม่า มีสภาพไม่ต่างจาก ผักและ มีโอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาได้น้อยมาก แต่ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาได้ เขาเล่าว่าในช่วงที่หมดสติอยู่นั้น เคยถูกหมอทดสอบด้วยการบิดและบีบนิ้วเท้าของเขา เขารู้สึกเจ็บปวดมากจนร้องในใจว่า หยุดได้แล้ว ๆแต่เขาก็ไม่สามารถพูดหรือแสดงอาการเจ็บปวดออกมาได้ ผลคือหมอยังคงบิดและบีบต่อไปจนเลิกไปเอง โดยเข้าใจว่าเขาหมดความรู้สึกเสียแล้ว

 
    มิเพียงแต่ได้ยินหรือรู้สึกทางกายเท่านั้น ผู้ป่วยในภาวะโคม่ายังสามารถ เห็นได้ ด้วย คริสเติล เป็นเด็กชาวอเมริกันอายุ ๗ ขวบ มีคนพบเธอหลังจากจมอยู่ใต้สระน้ำเป็นเวลา ๒๐ นาที อาการของเธอเพียบหนัก นอกจากจะอยู่ในภาวะโคม่าแล้ว การตรวจด้วยเครื่องซีทีสแกนพบว่า สมอง ของเธอบวมมาก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อีกทั้งเลือดของเธอก็มีความเป็นกรดสูงมาก บ่งชี้ว่าเธอใกล้จะเสียชีวิตแล้ว หมอยอมรับว่ามาถึงจุดนี้แล้วก็ทำอะไรแทบไม่ได้แล้ว แต่แล้วเธอก็ฟื้นขึ้นมาหลังจากโคม่าได้ ๓ วัน ทันทีที่เห็นหมอเข้ามาในห้อง เธอก็ทักหมอผู้นั้นทันที เพราะเธอ เห็นหมอ คนนี้ในขณะที่ยังหมดสติอยู่ เธอยังพูดถึงลักษณะของหมออีกคนที่รักษาเธอได้อย่างถูกต้อง แม้ว่ายังไม่ได้พบกันเลยก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังพรรณนาลักษณะของห้องฉุกเฉินได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งอุปกรณ์และผู้คนที่อยู่ในห้องนั้น

 
    เมื่อ ปี ๒๕๔๔ วารสารทางการแพทย์ของอังกฤษฉบับหนึ่งกล่าวถึงผู้ป่วยรายหนึ่ง ซึ่งหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างรีบด่วน หมอทำการช่วยเหลือด้วยการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ แต่ก่อนที่จะใส่ท่อช่วยหายใจพยาบาลได้ถอดฟันปลอมของเขาออก ในที่สุดหัวใจเขาก็เต้นเป็นปกติ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เมื่อผู้ป่วยรายนี้เห็นหน้าพยาบาลคนที่ถอดฟันปลอมให้เขาก็จำเธอได้ทันที และถามว่า คุณเป็นคนถอดฟันปลอมให้ผมใช่ไหมครับใช่แต่เท่านั้น เขายังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้อย่างถูกต้อง

 
    ทั้งสองกรณีข้างต้น ผู้ป่วยล้วนหมดสติไร้สัมปฤดี สมองอยู่ในสภาพไม่ปกติเพราะขาดอากาศ แต่เขา เห็นผู้ คนและสถานที่รอบตัวได้อย่างไร เขาไม่ได้เห็นด้วยตาอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่ได้รับรู้ด้วยระบบประสาทหรือสมองอย่างในภาวะปกติด้วย ทั้งสองกรณีเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเขาจะเห็นด้วย ใจ

 
    ทั้ง สองกรณีมิใช่กรณีพิเศษหรือยกเว้น มีรายงานการวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าผู้ป่วยในภาวะโคม่ายังสามารถรับรู้ได้ เช่น รายงานของนายแพทย์พิมฟอน ลอมเมล ซึ่งได้สัมภาษณ์ผู้ป่วย ๓๔๓ รายที่รอดชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น ข้อสรุปที่ออกมาก็คือ ผู้ป่วยร้อยละ ๑๘ จดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นขณะไร้ความรู้สึกตัวได้อย่างแม่นยำ รายงานอีกชิ้นหนึ่งของนักวิจัยชาวอังกฤษพบว่าผู้ป่วยร้อยละ ๑๑ สามารถจดจำเหตุการณ์ขณะหมดสติได้

 
    ตัวอย่าง ที่กล่าวมาบ่งชี้ว่าการรับรู้โลกภายนอกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่สมองเท่านั้น เราสามารถได้ยิน รู้สึก หรือเห็นได้แม้ในภาวะที่สมองไม่อาจทำงานอย่างปกติได้ หากการรับรู้รวมทั้งความจำได้หมายรู้เป็นเรื่องของจิต นั่นก็หมายความว่าจิตไม่ได้ผูกติดกับสมอง หากเป็นอีกส่วนหนึ่งที่แยกต่างหากจากสมอง แต่ทำงานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน จิต อาจรับรู้หรือมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกโดยผ่านสมอง แต่ก็มิได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ในภาวะที่สมองหยุดทำงานหรือมิอาจทำงานได้อย่างปกติ จิตก็ยังสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้แต่อาจไม่ชัดเจนเท่าในยามปกติ อีกทั้งไม่อาจบัญชาให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ แม้จิตปรารถนาจะทำเช่นนั้นก็ตาม กระนั้นก็ตามมีบางกรณีที่ผู้ป่วยสามารถแสดงปฏิกิริยาตอบสนองได้ หากจิตถูกกระตุ้นเร้าเพียงพอดังกรณีที่จะกล่าวต่อไป

 
    จิต กับสมองสัมพันธ์กันอย่างไร จิตเกิดจากสมอง หรือเป็นอีกส่วนที่แยกจากสมอง เหล่านี้เป็นประเด็นที่ยังคงโต้เถียงกันอีกนาน แต่นั่นก็ไม่สำคัญสำหรับคนทั่วไปเท่ากับความจริงที่ว่า ผู้ที่หมดสติหรืออยู่ในภาวะโคม่านั้น ยังมีความสามารถที่จะรับรู้ได้ ประเด็นนี้มีความสำคัญมาก เพราะนั่นหมายความว่า ผู้ที่อยู่รอบตัวผู้ป่วยยังสามารถมีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้ป่วยได้ คำพูดหรือการกระทำของหมอ พยาบาล และญาติผู้ป่วย อาจ ส่งผลในทางบวกหรือลบต่อผู้ป่วยก็ได้ ดังนั้นหากปรารถนาดีต่อผู้ป่วย จึงควรปฏิบัติต่อผู้ป่วยที่หมดสติประหนึ่งคนปกติ แม้เขาจะอยู่ในภาวะอย่าง ผักก็ตาม

 
    มี หลายกรณีที่คำพูดของญาติมิตรสามารถส่งผลในทางบวกต่อผู้ป่วยที่หมดสติ จนเขาสามารถแสดงอาการรับรู้ออกมาได้หรือถึงกับรู้สึกตัวขึ้นมาได้ มีเรื่องเล่าว่า ติช นัท ฮันห์ พระเซนชาวเวียดนาม เคยไปเยี่ยม อัลเฟรด แฮสเลอร์ มิตรชาวอเมริกันที่อยู่ในภาวะโคม่าและใกล้จะหมดลม ท่านนัทฮันห์ได้นั่งข้างเตียงอัลเฟรด และพูดถึงประสบการณ์อันน่าประทับใจที่ทั้งสองได้ผ่านมาร่วมกันเมื่อครั้ง เรียกร้องสันติภาพในเวียดนาม ท่านพูดอยู่ประมาณ ๔๐ นาที เมื่อพูดจบ อัลเฟรดทั้ง ๆ ที่ยังโคม่าอยู่ ก็พูดขึ้นมาว่า วิเศษ ๆหลังจากนั้นไม่นานเขาก็จากไปอย่างสงบ

 
    สารคดีของบีบีซีเรื่อง “Human Body” ที่ เผยแพร่ไม่นานมานี้พูดถึง ไวโอล่า หญิงวัย ๕๘ ที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง จนถึงกับหมดสติ หมอไม่สามารถช่วยให้ฟื้นขึ้นมาได้ จนในที่สุดลูกชายก็พูดกับแม่ว่า แม่ต้องฟื้นนะ เพราะพ่อกำลังจะพาผู้หญิงอีกคนไปเที่ยวพอพูดจบ ไวโอล่าก็เปิดตาและรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอเล่าว่าเธอยอมไม่ได้ที่สามีจะควงผู้หญิงอื่นไปเที่ยว

 
    อีกกรณีหนึ่งซึ่ง วีรกร ตรีเศศนัก เขียนประจำมติชนสุดสัปดาห์ ได้อ้าง ดร.สมศักดิ์ ชูโต อีกทีว่า หญิงฝรั่งผู้หนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไทยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนหมดสติ อาการหนักมากถูกนำส่งโรงพยาบาล แต่ไม่มีใครคิดว่าจะรอด ขณะที่หมอและบุรุษพยาบาลกำลังช่วยชีวิตเธออยู่นั้น มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า อีนี่ไม่น่าตายเลย นมมันสวยปรากฏว่าเธอได้ยินและมีกำลังใจฮึดสู้ขึ้นมาว่า ฉันต้องไม่ตาย ในที่สุดก็กลับฟื้นขึ้นมาได้

 
    ผู้ ป่วยขั้นโคม่าที่ฟื้นขึ้นมาก็มี แต่ที่ไม่ฟื้นเลยก็มาก เพราะสังขารไม่อำนวยแล้ว แต่ไม่ว่าผลในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขายังหมดสติอยู่นั้น อย่าลืมว่าเขายังสามารถรับรู้อะไรได้ ดังนั้นญาติมิตรจึงยังสามารถช่วยเขาได้อีกมาก โดยเฉพาะในด้านจิตใจเช่น ช่วยให้เขาคลายความวิตกกังวลหรือความหวาดกลัว ด้วยการพูดให้เขาเบาใจ รำลึกถึงบุญกุศลหรือความดีที่เขาเคยบำเพ็ญ หรือน้อมใจให้รำลึกถึงพรรัตน ตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ และคลายความกังวลเกี่ยวกับลูกหลานหรือคนรัก การพูดถึงประสบการณ์ในอดีตที่เขาประทับใจหรือภูมิใจ ก็ช่วยเขาได้เช่นกัน

 
    ใน อีกด้านหนึ่งก็ควรระมัดระวังคำพูดหรือการกระทำที่จะทำให้เขาเป็นทุกข์ เช่น ทะเลาะวิวาทกัน หรือร่ำไห้คร่ำครวญข้างเตียง หรือพูดถึงความเจ็บป่วยของเขาในทางที่ไม่สร้างสรรค์ ตราบ ใดที่ผู้ป่วยยังมีลมหายใจอยู่ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่เราจะทำสิ่งดี ๆ ให้เขา ไม่ว่าการช่วยเขาทำบุญถวายสังฆทาน ขออโหสิกรรมจากเขา หรือเอ่ยปากให้อภัยเขา (หากคิดว่าความรู้สึกผิดยังค้างคาใจเขาอยู่) หรือแม้แต่การบอกความในใจบางอย่างให้เขารับรู้

 
    หญิง ชราผู้หนึ่งนั่งเศร้าซึมข้างเตียงสามีซึ่งอยู่ใกล้ตายและอยู่ในภาวะโคม่า เธอเสียใจที่ไม่เคยบอกสามีว่าเธอรักเขาเพียงใด มาได้คิดก็สายเสียแล้วเพราะเขาหมดสติไม่ตอบสนองใด ๆ แต่พยาบาลแนะให้เธอพูดทุกอย่างที่อยากพูดเพราะเขายังอาจได้ยินคำพูดของเธอ ได้ เธอจึงขออยู่กับเขาอย่างเงียบ ๆ แล้วบอกเขาว่า เธอรักเขาอย่างสุดซึ้ง และมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา หลังจากนั้นเธอก็กล่าวคำอำลาว่า ยากมากเลยที่ฉันจะอยู่โดยไม่มีเธอแต่ฉันไม่อยากเห็นเธอทุกข์ทรมานอีกต่อไป ฉะนั้นหากเธอจะจากไป ก็ขอให้จากไปเถิดพูดจบ สามีของเธอก็หายใจเฮือกยาวออกมาและสิ้นชีวิตอย่างสงบ

 
    สำหรับ ผู้ป่วยที่หมดสติ ความดีงามที่สื่อตรงจากใจถึงใจนั้นมีอานุภาพเหลือประมาณ สามารถเยียวยาความทุกข์และเป็นกำลังใจให้เขาก้าวสู่ความตายได้อย่างสงบ ชนิดที่เงินจำนวนมหาศาลและเทคโนโลยีอันล้ำเลิศมิอาจทำได้

พระไพศาล วิสาโล
แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
www.jitwiwat.org
ตีพิมพ์ใน มติชนรายวัน ๙ กันยายน ๒๕๔๙

******************
มาอัพแล้วค่ะ...แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เอาคอมฯไปซ้อมล่ะเพราะช่างบอกว่ามันยังใช้ได้นะถ้าเอาไปต้องลบแล้วลง Window ใหม่เลยน้องชายเราเลยบอกว่ารอให้มันเน่าสุดๆไปเลยจะดีกว่า (=.=;;)a (คิดได้นะแก..ขี้เกียจลงเกมส์ใหม่อ่ะดิ ชั้นรู้นะยะ) ทุกวันนี้เปิดคอมฯแต่ละที่ใจเต้นแรงเป็นเจ้าเข้า เอ...วันนี้มันจะเปิดขึ้นไหมหว่า แต่เมื่อวานที่ไม่ได้เข้ามาอัพเพราะ login เข้าไม่ได้น่ะ (ทำไมไม่รู้อ่า) เอาเป็นว่าจะพยายามมาอัพให้ได้เหมือนเดิมนะคะ...

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

4อย่า...(แล้วชีวิตจะมีสุข)

1. อย่าเป็นนักจับผิด
     คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง 'กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง จงมองคน-มองโลกในแง่ดี (( แม้ในสิ่ง ที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข ))



 
  
     2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
     'แข่งกันดี ไม่ดีสักคน - ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน' คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว คือ 'เจ้ากรรมนายเวร' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น...เราต้องถอดถอนความริษยาออกจากใจ
 
     ***เรา ริษยา 1 คน เรา ก็ มี ทุกข์ 1 ก้อน ( หนักเปล่าๆ )*** จงถอดถอนความริษยาออกจากใจโดยใช้วิธี 'แผ่เมตตา' แล้วปล่อยวางไป
  
     3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
     90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ 'ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น' มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก... เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขา พร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลัง (หนักป่ะล่ะ??) ทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงตัด และปล่อยมันซะ
 
     'อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน'
     'อยู่กับปัจจุบันให้เป็น อย่าไปยึดติดกับอดีต แล้วชีวิตจะเป็นสุข'
     ---จงให้กายอยู่กับจิต และ ใช้จิตอยู่กับกาย----
    
     4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
     'ตัณหา' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติม-ยิ่งไม่เต็ม' ทุกอย่าง ต้องดู คุณค่าแท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าแท้ของนาฬิกา คือไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คือไว้สื่อสาร ไม่ใช่มีไว้เพื่อความโก้หรู ลองถามตัวเราเองซิว่า 'เกิดมาทำไม'


'คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน 'ตามหา - แก่น ' ของชีวิตให้เจอ พยายามวางกิเลส ทั้ง โลภ โกรธ หลง ให้ได้มากที่สุด แล้วชีวิตจะมีความสุขอย่างแน่นอน...

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ชีวิตนี้...ยังมีทิศตะวันออก

บ่อย ครั้งที่ชีวิตผิดพลาด..ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับความผิดพลาดนั้น ซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์...ให้เสียใจ และพยายามจะสร้างคำถามเพื่อค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เสมอ





ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าคำตอบที่สร้างขึ้นมานั้น มัน "ไม่ใช่ความจริง" ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความเสียใจนั้นได้เลย  เราจึงยอมติดกับดักความเสียใจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และกลายเป็นทาสของมันอย่างรู้ตัว   รู้ว่าเสียใจแต่ก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นมา และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ทำไมเรายังเป็นทุกข์กับการเลือกที่จะเสียใจ และทำชีวิตให้มันแย่ลงกว่าเดิมทุกวันๆ

ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ารสชาติของมันสุดแสนจะขมขื่นมากมายเพียงใด เพราะ "เราเริ่มต้นใหม่ไม่เป็น" เราเลยยังทุกข์ระทมไปกับความผิดพลาดของชีวิต สิ้นสุดแล้วแต่ก็เริ่มต้นใหม่ไม่ได้...ไปไม่เป็น...เหมือนจะมองเห็นทาง แต่ก็เลือกที่จะปิดหู ปิดตา และไม่พยายามจะเปิดใจ เราจึงต้องอยู่กับความเศร้าเสียใจอยู่ทุกคืนทุกวัน ตอกย้ำความผิดพลาดให้ตัวเองอยู่อย่างนั้น

ลอง มองดูวิถีดอกทานตะวันบ้างสิ ชีวิตมีแต่ความเบิกบาน เพราะรู้จักที่จะใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กับแสงตะวัน แสงสว่างที่ส่องนำทางให้ชีวิตทุกชีวิต..."ยังคงมีชีวิต" แม้ยามที่ดอกทานตะวันร่วงโรย ก็ยังคงทิ้งเมล็ดพันธุ์ให้เจริญเติบโต งอกงามและรับแสงตะวันได้ใหม่อีกครั้ง

เพราะ ฉะนั้นเราต้องไม่ปิดตัวเอง แล้วจมอยู่กับความคิดที่ว่าชีวิตต้องเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการเศร้าเสียใจ แล้วปล่อยให้ชีวิตมันไหลไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีคุณค่าและไร้จุดมุ่งหมาย

จง ใช้ชีวิตให้เป็นดั่งเช่นดอกทานตะวัน แม้ยามผิดพลาด เสียใจ ก็จะมีทางออกของชีวิตเสมอ อับจนหนทางอย่างไร แสงสว่างจากดวงตะวันก็จะคอยส่องทางให้เราได้พบเจอทางออก

"ชีวิตเราจึงมีทางออก ตราบใดที่บนโลกใบนี้ยังมีทิศตะวันออก"

แม้ ว่าชีวิตจะยังมืดมน จะยังคงจมอยู่กับความผิดพลาด เศร้าใจ ก็จงเศร้าให้ถึงที่สุด เสียใจ ก็จงเสียใจเสียให้พอ หากยังร้องไห้ ขอให้ระบายน้ำตาออกมา อย่ากักเก็บมันไว้ เมื่อเราเสียใจอย่างถึงที่สุดแล้ว เราต้องกล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง และพร้อมที่จะเป็นคนใหม่ ที่ใช้บทเรียนจากอดีต เป็นเหมือนเข็มทิศคอยช่วยบอกทางแก่ชีวิต เพราะ...
  
"ความ เศร้านั้นมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง ข้อเสียคือทำให้เราโศกาอาดูร แต่ข้อดีของมันคือ...สอนให้เรารู้ว่าเราจะไม่ผิดพลาดตรงนี้อีก เราจะต้องไม่ร้องไห้ให้กับมันอีก"

ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ ตอนที่เสียใจกับความผิดพลาดของชีวิต เพราะฉะนั้นแล้วเกิดเป็นคน มีความรู้สึกรู้สาเหมือนกันหมด สามารถเศร้าเสียใจกับอดีตที่ผิดพลาดได้เหมือนกันหมด และก็เริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมดเช่นเดียวกัน

ขอ เพียงกล้าที่จะเป็นนกปีกหักที่พร้อมจะรักษาตัวเอง และออกเดินทางได้โดยไม่กลัวว่าหนทางข้างหน้า จะผิด พลาดซ้ำสอง อย่าลืมนะว่า?เรามีโอกาสผิดพลาดได้บ่อยครั้งเท่าไหร่ เราก็เดินถูกทางมากขึ้นเท่านั้น

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์แห่งชีวิต… หลักคิด 20 ข้อ

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ





๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบ

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

ศักดิ์ศรี

พูดถึงเรื่องอัตตาตัวตนบางคนฟังไม่ถูก จึงขอพูดถึงอาการของอัตตาที่ค่อนข้างชัดเจน นั้นคือสิ่งที่เราเรียกว่าศักดิ์ศรี


เราควรจะดูตัวเองให้เป็นว่า
ศักดิ์ศรีของเราอยู่ตรงไหน
เพราะศักดิ์ศรีเป็นจุดอ่อนของเรา
เป็นทีเกิดของทุกข์
สิ่งใดก็ตามแม้แต่ขี้ปะติ๋ว
หากกระทบศักดิ์ศรีของเราเมื่อใดก็เป็นเรื่องเมื่อนั้นทันที
ถ้าเราเอาการรักษาศักดิ์ศรีเป็นเครื่องตัดสินว่า
เราจะทำหรือไม่ทำอะไรในชีวิต
เราควรจะระวังให้ดีว่า
เราผูกศักดิ์ศรีของเราไว้กับอะไรบ้าง
ตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชนคงยังไม่พ้นความยึดมั่นในศักดิ์ศรี
แต่อย่างน้อยที่สุดเราควรจะพัฒนามัน
จนขึ้นอยู่กับการเป็นพุทธมามกะมากกว่าอย่างอื่น
การมีอัตตาหรือการเป็นชาวพุทธที่ดียังมีโทษอยู่
แต่สำหรับนักปฏิบัติธรรมอาจใช้ความรู้สึกในศักดิ์ศรี
มาหนุนกำลังความละอายต่อบาปในเบื้องต้น
และเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่ความปลอดภัยในที่สุด
ทุกวันนี้เราเอาอะไรมาเป็นศักดิ์ศรีของตน ขอให้ดูให้ดี
เพราะถ้าไม่ระวังในเรื่องนี้ เดี๋ยวจะกีดกั้นความเจริญในธรรม
มัวแต่เป็นห่วงเรื่องมายา
คือเอาแต่กังวลเรื่องความรู้สึกของเขาต่อเรา อย่างนี้ก็ยุ่ง
ถ้าศักดิ์ศรีของเราขึ้นอยู่กับความมั่นใจว่า
เขารักเราจริง เขาเคารพเราจริง เขากลัวเราจริง ฯลฯ
อย่างนี้ไม่มีวันที่จะสงบได้
เราจะอ่อนไหวต่อการกระทำของคนอื่นตลอดเวลา
เขาทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขาไม่ทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขาพูดอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขาเงียบอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขายิ้นอย่างนั้นแปลว่าอย่างไร
เขาหน้าตาเฉยอย่างนั้นแปลว่าอย่างไร
เป็นนักแปลอย่างนี้เหน็ดเหนื่อยมาก

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ม่านหมอก...รัตติกาล

ความรัก ความฝัน กับ ความจริง ในบางครั้งก็เป็นเหมือนดั่งเส้นขนานด้วยตัวของมันเอง ยากยิ่งนักที่จะทำให้ทั้งสามสิ่งมารวมกันในที่ๆเดียวกันของหัวใจ เพราะท้ายที่สุดก็ต้อง ถูกความจริงทำลายลงสักวันด้วย..ตัวของมันเอง


ความรักก็อาจจะมา ..ในวันที่ผิด และ ในเวลา..ที่ไม่ใช่
ความฝันอาจจะ..ทำให้สุขใจที่มีมัน แต่อาจจะกลายเป็นความปวดร้าว..ในความจริง
และความจริงก็ไม่อาจจะ..อยู่ร่วมกับ ความรัก ความฝัน ที่ไม่มีทาง..เป็นจริง

ซึ่งม่านหมอก รัตติกาล คือความเหงา ความอ้างว้าง เดียวดาย รอคอย เติมเต็มในความรัก ของใครหลายๆคน ที่ไม่สามารถก่อเกิดภาพและมีตัวตน ในโลกแห่ง..ความเป็นจริงได้

ในยามค่ำคืน ที่มีม่านหมอกบางๆ แต่แฝงไปด้วยความอ้างว้าง อย่างหาที่สุด มองไม่เห็นทางข้างหน้ามีเพียงแค่ แสงสลัวๆในความหนาวเย็น มีเพียงเงาแห่งความมืดมิดของรัตติกาลเป็นเพื่อนเคียงใจ

ม่านหมอก มองดูแล้วเหมือน อ้างว้าง เงียบเหงา และ สวยงาม มีทั้งสองมุมในความรู้สึกเดียวกัน
อาจจะเป็นที่ความรัก ไม่สามารถเลือกเกิดกับหัวใจได้ ในเวลาดั่งที่ใจ..ต้องการ
ซึ่งในบางครั้งเจ้าของหัวใจก็พอจะรู้ว่า คำตอบที่ปลายทางจะจบลง..เช่นไร
แต่เมื่อความรัก อยู่เหนือเหตุและผล ก็ยินยอมพร้อมใจที่จะ เจ็บปวดอยู่อย่างนั้น ด้วยความ..เต็มใจ

ความจริง เป็นอย่างไร...ไม่รู้จัก
ต้องเรียกหา ความรัก...สักกี่หน
เดินบนทาง ว่างเปล่า...เหงาเกินทน
ทุกข์เหลือล้น ทรมาน...นานเพียงเท่าไร

แม้รู้สึก อ้างว้าง...ในบางครั้ง
แม้จะเดินอยู่ คนเดียว...เปลี่ยวใจเหงา
แม้จะอยู่เดียวดาย..เกินทุเลา
แม้สุดท้ายสิ้นสุด..เขา
เหลือแค่เรา เพียง..ผู้เดียว

ซึ่งในหัวใจรัก กลับรู้สึก อบอุ่นอย่าง..ประหลาด
ทั้งๆที่อยู่คนเดียว ท่ามกลาง ความเดียวดาย หมอกที่หนาว และ ราตรีกาลที่..มืดมิด
คงมีเพียงแค่แสงเล็กๆ เพียงสิ่งเดียวที่ให้พอจะให้เห็นหนทาง..ข้างหน้า
แม้จะไม่ค่อยอบอุ่น แต่แสงจากตะเกียงในความรักที่ไม่มีทางเป็นจริง นั้น คือความอบอุ่นเดียว
ความหวังเดียว ที่ยังพอมีตัวตนและ..จับต้องได้
ซึ่งตะเกียงเอง ก็คงมองเห็นค่าความรัก ในม่านหมอก รัตติกาล เช่นกัน

ไม่ว่าจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร อย่าปล่อยตะเกียงทิ้งไว้โดยด็ดขาด จงนำมันติดตัวไป..ตลอดเวลา
ติดไปจนกว่าหน้าที่ของตะเกียง จะหมดลงจนรุ่งสาง และเป็นหน้าที่ของแสงแห่งดวงอาทิตย์..ในความจริง

แต่เมื่อยามใด ที่ถึงเวลาของ ม่านหมอก รัตติกาล มาเยือน เจ้าตะเกียงแห่งความฝันจะกลับมาร่าเริงอีกครั้ง และทำหน้าที่ของมัน อย่างเต็มใจกับความรักที่มันมี อย่างสมบูรณ์ จนสุดปลายทาง...ในความฝัน

“เรื่องที่เศร้าที่สุดของความรัก ไม่ใช่เขาไม่รักเรา หากแต่เราและเขาไม่สามารถ..รักกันได้”

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

นี่แหละ . . .ความเหงา

สำหรับบางคน . . . ที่บอกตัวเองไม่ได้ว่า
กำลังสุข หรือ เศร้า กับคำว่า . . . "ความรัก" 



บางเวลาในชีวิตหนึ่ง . . . โลกกำหนดให้หัวใจรู้จักกับ "ความเหงา"
เพื่อที่วันหนึ่ง . . . ความเหงาจะผลักดัน คนสองคนเข้าหากัน
เพื่อลดช่องว่างให้กันและกัน สร้างคืนวันที่ดี ๆ ร่วมกัน
และเพื่อที่วันหนึ่ง โลกจะแยกให้พวกเขา "จากกัน" . . .
ให้ชีวิตวนกลับสู่ "ความเหงา"

บางเวลาในชีวิตหนึ่ง . . . โลกกำหนดให้หัวใจรู้จัก "ความเหงา"
ด้วยเหตุผลบางอย่าง . . . นั้นคือให้โลกใบนี้ยังคงมีความรัก
ดำเนินต่อความเหงา . . . ทำให้หัวใจสองดวงเชื่อมถึงกันด้วยความคิดถึง

แม้ในยามที่โลก . . . แยกคนทั้งสองให้ห่างกันไป ไกลแสนไกล . . .
ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป . . . ท่ามกลางความโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้เปลือกตาอันมืดมิด ความทรงจำ จะกลับชัดเจนขึ้นเสมอ
ในวันที่ ความเหงาทำให้เราคิดถึง . . .

ความรัก . . . คือ อาวุธชนิดหนึ่ง
ที่เราหยิบมันมาเเล้วค่อย ๆ กรีดใจของตัวเอง อย่างช้าๆ
สุดท้าย . . .ก็มีแต่เราเท่านั้นที่จะเจ็บปวด แค่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยว
ความคิดถึง . . . ได้พาให้ฉันสัมผัสกับความเปลี่ยวเหงา
ได้นำพาฉัน ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความว่างเปล่า และโดดเดี่ยว


ความคิดถึง เศร้า . . . แต่หวาน งดงาม . . . แต่ทุกข์
และเมื่อฉันได้คิดถึงเธอ ขอให้ความคิดถึงของฉัน จงเดินทางไปให้ถึงเธอ
ให้เธอได้รับรู้ถึง ความเศร้าที่แสนหวาน . . . ความงดงามที่เจือรอยทุกข์
และเมื่อนั้น . . .
เธออาจจะมองเห็นฉันได้แย้มยิ้ม อยู่ในหยาดน้ำตา ก็เป็นได้
.
.
.
.
.
.
.
.
 
 
บางครั้ง ความรัก ก็เข้ามาหาเรา เพื่อให้เราเรียนรู้ มิใช่ให้เราครอบครอง
ไม่ผิดหากจะรักคนมีเจ้าของ แต่จะผิดหากเข้าไปทำหน้าที่ซ้ำซ้อนคนอีกคน
หน้าที่ของความรัก คือการเดินไปมอบความรัก และยืนเฉยๆเพื่อรับมัน ไม่ใช่การดิ้นรนเพื่อให้ได้มา
ในห้วงรัก การถูกรัก มันสุขใจ การมอบความรักมันอิ่มเอม และเมื่อได้รับการปฏิเสธ มันทรมาน
ความรัก จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดการถ่ายเทพลังอันอ่อนโยนของคนสองคน
ความรัก มิใช่การเข้าไปเป็นชีวิตเขา แต่คือการเข้าไปอยู่ข้างๆชีวิตเขา
คนบางคนเหมาะที่เกิดมาเพื่อให้เรารัก แต่ไม่เหมาะที่จะร่วมชีวิตด้วย
ความรัก ระยะแรกทำให้ร่างกายหลั่งสารกระตือรือร้น ทำให้มนุษย์ทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งความรัก
แฟน ก็คือ เพื่อนคู่คิด ที่ก้าวไปด้วยกันในวันข้างหน้า
ในวันที่ความรักคงที่ สารกระชุ่มกระชวยงดทำงาน สิ่งเดียวที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้ตลอดไป คือ ความเข้าใจล้วนๆ
ความห่างไกล มันทรมาน เวลาเจอกันจึงหอมหวาน และเป็นความทรงจำที่เก็บไปนั่งเพ้อฝันได้ในวันจาก
บุคคลไม่พึงประสงค์สำหรับทุกคู่รัก มักจะเดินทางมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
ผู้ชายแสดงความรักด้วยการกระทำ ขณะที่ผู้หญิงอยากรู้ว่ารัก จากคำพูด
............................................................

เคยไหม..ที่คุณออน msn เพื่อที่อยากจะคุยกับใครซักคน
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีใครตั้ง Busy ไว้เพื่อที่จะคุยกับคุณคนเดียว
เคยไหม..ที่คุณรอ msg จากใครบางคนที่คุณคิดถึง
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีคนส่ง msg ให้คุณเพราะเค้าแคร์คุณมากกว่าใคร
เคยไหม..ที่คุณคิดอยากจะชวนเค้าไปเที่ยวไหนต่อไหนแต่ไม่กล้าชวน
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีคนชวนคุณไปไหนต่อไหนแต่คุณไม่ไปด้วย
เคยไหม..ที่คุณแอบชอบใครคนหนึ่งมากมาย
แต่คุณรู้ไหม..ว่าที่มีใครเค้าทำอะไรให้คุณนั้นน่ะ เพราะเค้าชอบคุณนะ
เคยไหม..ที่คุณฟังเพลงแล้วคิดถึงใครคนหนึ่ง
แต่คุณรู้ไหม..เค้าส่งเพลงบอกรักให้คุณแต่คุณกลับไม่ใส่ใจ
เคยไหม..ที่คุณเคยชอบใคร แต่เค้ากลับไม่ชอบคุณ
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีคนที่รอคุณแต่คุณกลับเดินผ่านเค้าไป
เคยไหม..ที่คุณทำอะไรซักอย่างแล้วคิดถึงใครคนหนึ่ง
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีใครคนหนี่งคิดถึงคุณทุกเวลาไม่ว่าจะทำอะไร ....
   
ลองคิด ดูนะว่านายจะช้ำอยู่กับความรักที่ผ่านมาหรือพร้อมจะ เดินหน้าเพื่อตัวเอง

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

ในเมื่อไม่รักกันแล้ว ก็ปล่อยมือจากกันเถอะ

มัน เป็นเรื่องธรรมดา หากความรักของคนสองคนเดินมาถึงทางตัน ไม่สามารถจูงมือกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง เหมือนอย่างที่วาดฝันไว้ ก็ถึงเวลาของการ "เลิกรา" แต่มีบางคู่ที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไงซะรักครั้งนี้ก็ไปด้วยกันไม่รอด ก็ยังพยายามฝืน ยื้อ ดันทุรัง เพื่อจะรักษาสถานภาพของคำว่า "คนรัก" เอาไว้ให้นานที่สุด จนสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องจบลง และจากลากันไปด้วยความรู้สึกไม่ดี



           เชื่อเถอะว่า...จากคนเคยรักกันจนหมดใจ หากวันใดวันหนึ่ง ใครคนใดคนหนึ่งหมดใจหรือปันใจ อีกฝ่ายต้องรับรู้หรือสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น เพราะอะไร ๆ ก็คงไม่เหมือนเคย...จากเดิมที่ไม่ว่าจะเอาทำอะไร เขาหรือเธอก็จะสนับสนุน เห็นดีเห็นงาม และคอยให้คำปรึกษา เมื่อหมดรักกลับขวางไปซะทุกอย่าง แถมบางทียังชอบพูดจาประชดประชันเสมอ หรือจากเดิมที่นึกถึงเราเป็นคนแรก ไม่ว่าจะทำอะไรก็คอยถามไถ่หรือขอคำปรึกษา กลับกลายเป็นเราคือคนสุดท้ายที่รู้เรื่องของเขาหรือเธอ เป็นต้น

           ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าคุณทั้งคู่จะพยายามฝืนต่อไปแค่ไหน ยื้อด้วยวิธีอะไร สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องจบลงอยู่ดี ทำไมไม่หันหน้าคุยกันว่า ณ ตอนนี้ความรู้สึกที่มีให้กันและกันเป็นอย่างไร รู้สึกเฉย ๆ เหมือนเป็นเพื่อน รู้สึกเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง หรือความรู้สึกแบบคนรักมันค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา ฯลฯ จากนั้นอาจจะลองมาปรับเปลี่ยนเติมความหวานให้กันและกันดู เผื่อความรู้สึกต่าง ๆ จะกลับมาเหมือนเดิม หากมันยังไม่ดีขึ้น ทางเลือกสุดท้ายคงเป็นการตัดสินใจ "เลิกรา" จากกันด้วยดี 

           จริงอยู่ว่าการจากลาใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความพันผูกที่มีให้แก่กันและกัน ความรู้สึกดี ๆ ที่เคยทำร่วมกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะ "ตัดขาด" กันไปได้ง่าย ๆ ทางที่ดีอยากให้คุณทั้งคู่ลองคิดถึงวันข้างหน้า จะเจ็บตอนนี้ หรือเจ็บปวดช้ำใจต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

           ทำไมไม่เก็บช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยมีด้วยกัน ไว้ให้เป็นความทรงจำดี ๆ ที่หวนคิดถึงทีไรแล้วใจยิ้มได้ทุกครั้ง เพียงแค่ยอมเป็นคนใจแข็งพอ ตัดใจหันหลังเดินจากมาตอนนี้ ดีกว่าเจ็บช้ำต่อไปเรื่อย ๆ และคิดซะว่าอย่างน้อยเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ มาแค่ได้รู้จักกัน แต่ไม่ได้เป็นคู่กัน

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

ม่านหมอก...รัตติกาล

ความรัก ความฝัน กับ ความจริง ในบางครั้งก็เป็นเหมือนดั่งเส้นขนานด้วยตัวของมันเอง ยากยิ่งนักที่จะทำให้ทั้งสามสิ่งมารวมกันในที่ๆเดียวกันของหัวใจ เพราะท้ายที่สุดก็ต้อง ถูกความจริงทำลายลงสักวันด้วย..ตัวของมันเอง





ความรักก็อาจจะมา ..ในวันที่ผิด และ ในเวลา..ที่ไม่ใช่
ความฝันอาจจะ..ทำให้สุขใจที่มีมัน แต่อาจจะกลายเป็นความปวดร้าว..ในความจริง
และความจริงก็ไม่อาจจะ..อยู่ร่วมกับ ความรัก ความฝัน ที่ไม่มีทาง..เป็นจริง

ซึ่งม่านหมอก รัตติกาล คือความเหงา ความอ้างว้าง เดียวดาย รอคอย เติมเต็มในความรัก ของใครหลายๆคน ที่ไม่สามารถก่อเกิดภาพและมีตัวตน ในโลกแห่ง..ความเป็นจริงได้

ในยามค่ำคืน ที่มีม่านหมอกบางๆ แต่แฝงไปด้วยความอ้างว้าง อย่างหาที่สุด มองไม่เห็นทางข้างหน้ามีเพียงแค่ แสงสลัวๆในความหนาวเย็น มีเพียงเงาแห่งความมืดมิดของรัตติกาลเป็นเพื่อนเคียงใจ

ม่านหมอก มองดูแล้วเหมือน อ้างว้าง เงียบเหงา และ สวยงาม มีทั้งสองมุมในความรู้สึกเดียวกัน
อาจจะเป็นที่ความรัก ไม่สามารถเลือกเกิดกับหัวใจได้ ในเวลาดั่งที่ใจ..ต้องการ
ซึ่งในบางครั้งเจ้าของหัวใจก็พอจะรู้ว่า คำตอบที่ปลายทางจะจบลง..เช่นไร
แต่เมื่อความรัก อยู่เหนือเหตุและผล ก็ยินยอมพร้อมใจที่จะ เจ็บปวดอยู่อย่างนั้น ด้วยความ..เต็มใจ

ความจริง เป็นอย่างไร...ไม่รู้จัก
ต้องเรียกหา ความรัก...สักกี่หน
เดินบนทาง ว่างเปล่า...เหงาเกินทน
ทุกข์เหลือล้น ทรมาน...นานเพียงเท่าไร

แม้รู้สึก อ้างว้าง...ในบางครั้ง
แม้จะเดินอยู่ คนเดียว...เปลี่ยวใจเหงา
แม้จะอยู่เดียวดาย..เกินทุเลา
แม้สุดท้ายสิ้นสุด..เขา
เหลือแค่เรา เพียง..ผู้เดียว

ซึ่งในหัวใจรัก กลับรู้สึก อบอุ่นอย่าง..ประหลาด
ทั้งๆที่อยู่คนเดียว ท่ามกลาง ความเดียวดาย หมอกที่หนาว และ ราตรีกาลที่..มืดมิด
คงมีเพียงแค่แสงเล็กๆ เพียงสิ่งเดียวที่ให้พอจะให้เห็นหนทาง..ข้างหน้า
แม้จะไม่ค่อยอบอุ่น แต่แสงจากตะเกียงในความรักที่ไม่มีทางเป็นจริง นั้น คือความอบอุ่นเดียว
ความหวังเดียว ที่ยังพอมีตัวตนและ..จับต้องได้
ซึ่งตะเกียงเอง ก็คงมองเห็นค่าความรัก ในม่านหมอก รัตติกาล เช่นกัน

ไม่ว่าจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร อย่าปล่อยตะเกียงทิ้งไว้โดยด็ดขาด จงนำมันติดตัวไป..ตลอดเวลา
ติดไปจนกว่าหน้าที่ของตะเกียง จะหมดลงจนรุ่งสาง และเป็นหน้าที่ของแสงแห่งดวงอาทิตย์..ในความจริง

แต่เมื่อยามใด ที่ถึงเวลาของ ม่านหมอก รัตติกาล มาเยือน เจ้าตะเกียงแห่งความฝันจะกลับมาร่าเริงอีกครั้ง และทำหน้าที่ของมัน อย่างเต็มใจกับความรักที่มันมี อย่างสมบูรณ์ จนสุดปลายทาง...ในความฝัน

“เรื่องที่เศร้าที่สุดของความรัก ไม่ใช่เขาไม่รักเรา หากแต่เราและเขาไม่สามารถ..รักกันได้”

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับความรัก

- A man overtime falls in love with the woman he is attracted to, and a woman overtime becomes more attracted to the man she loves.



          ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์ และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก

          - Friendship is love minus sex and plus reason. Love is friendship plus sex and minus reason.

          มิตรภาพคือ ความรัก ลบด้วย เซ็กซ์ และบวกเอาเหตุผลเพิ่มเข้าไป ส่วนรักคือมิตรภาพบวกด้วยเซ็กซ์ และลบเอาเหตุผลออก

          - To love is nothing. To be loved is something. To love and be loved is everything!!

          การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง การถูกรักเป็น “บางอย่าง” ทีเดียว ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง (ว้าว)

          - You may only be one person to the world but you may also be the world to one person.

          คุณอาจจะเป็นแค่ “คน ๆ หนึ่ง” ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น “โลกทั้งใบ” ของคนคนหนึ่งก็ได้

          - Friendship often ends in love, but love in friendship never.

          มิตรภาพมักจะจบลงด้วยความรัก แต่ความรักไม่มีวันจบลงด้วยมิตรภาพ

          - You know when you love someone when you want them to be happy even if their happiness means that you’re not part of it.

          คุณรู้ว่า คุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายความถึงการที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน

          - Love looks not with the eyes, but with the mind.

          ความรักนั้น เห็นไม่ได้ด้วยตา แต่ด้วยใจ

          - Love is like standing in the wet cement. The longer you stay, the harder it is to leave. And you can never go without leaving your shoes behind.

          ความรักก็เหมือนซีเมนต์เปียกๆ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ จากไปไม่ได้เท่านั้น และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง

          - Don’t marry a person you can live with, marry somebody you can’t live without.

          จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ “อยู่ด้วยได้” จงแต่งงานกับคนที่คุณ “ขาดไม่ได้”

          - Don’t rely on the past to create the future, rely on the future to erase the past.


          อย่าวางใจใช้อดีตเป็นตัวสร้างอนาคต แต่จงใช้อนาคตเป็นตัวลบอดีตทิ้งไป

          - Love will die if held too tightly; love will fly if held too lightly.

          รักจะเฉาตายถ้ายึดไว้แน่นเกินไป และรักจะโบยบินไปถ้ายึดไว้หย่อนเกินไป

          - If you love someone tell them, don’t wait or else you will lose the chance.

          ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ

          - It only takes a second to say “I love you”, but it will take a lifetime to show you how much.

          ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า “ฉันรักเธอ” แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร

          - Love, is like water, we take it for granted. Thus, when it is gone, it becomes crucial.

          ความรักก็เหมือนน้ำ เรามักจะเห็นมันเป็นของตาย ต่อเมื่อ มันหมดไปแล้ว นั่นละ … มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น

          - True love is like ghosts, which everyone talks about but few have seen.

          รักแท้ก็เหมือนกับปีศาจ ทุกคนพูดถึง แต่มีคนน้อยมากที่ได้เห็นว่าเป็นอย่างไร

          - The essential sadness is to go through life without loving. But it would be almost equally sad to leave this world without ever telling those you loved that you love them.

          ความเศร้าที่สำคัญคือการชีวิตโดยปราศจากความรัก แต่มันคงจะเศร้าเกือบจะพอๆ กันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า “คุณรักพวกเค้า”

          - A man falls in love through his eyes, a woman through her ears.

          ผู้ชายตกหลุมรักทางตา แต่ผู้หญิงน่ะ ตกหลุมรักทางหู

          - The way to love anything is to realize that it might be lost.

          หนทางที่จะรักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือ การตระหนักสิ่งนั้นๆ อาจจะสูญหายได้

          - The perfect marriage begins when each partner believes they got better than they deserve.

          การแต่งงานที่สมบูรณ์แบบเริ่มขึ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างคิดว่า พวกเค้าได้รับสิ่งที่ดีเกินกว่าที่ตัวเองสมควรได้รับ

          - When a young man complains that a young woman has no heart, it is pretty sure that she has his.

          เวลาที่หนุ่มน้อยโอดครวญว่า สาวน้อยนางนั้นไม่มีหัวใจ ค่อนข้างแน่ใจได้เลยว่าสาวน้อยนั้นน่ะ … มีหัวใจของหนุ่มคนนั้นอยู่ในกำมือ

          - Kindness in words creates confidence, kindness in thinking creates profoundness, kindness in giving creates love.

          วาจาที่กรุณาจะสร้างความเชื่อมั่น จิตใจที่กรุณาจะสร้างความลึกซึ้งของจิตใจ และการให้ที่กรุณาจะก่อให้เกิดรัก

          - To love is to risk not being loved in return. To hope is to risk pain. To try is to risk failure, but risk must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing.

          การที่ได้รักคือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน การตั้งความหวังคือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ การไม่เสี่ยงอะไรเลย

          - When loving someone…never regret what you do…only regret what you didn’t do.

          เวลารักใคร … อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ

          - Gravity cannot be held responsible for people falling in love.

          เวลาคนตกหลุมรักน่ะ … โทษแรงโน้มถ่วงไม่ได้ จริงมั้ยล่ะ (ต้องโทษคนขุดหลุม)

          - There is a story of a woman who always kept her feelings towards her friend until the day he got married, she decided to tell him the truth and he felt that it’s a good joke for his wedding

          มีเรื่องเล่าของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอรักเพื่อนของเธอแต่ได้เพียงเก็บความรู้สึกเอาไว้ จนกระทั่งวันที่เขาแต่งงาน เธอก็ตัดสินใจบอกความจริงกับเขา…แต่เขากลับคิดว่าเป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับ วันแต่งงานของเขา…

          - There is a story of a man Who has never told his wife how much he loves her Until the day she passed away Until now, he keeps sending flowers to her grave everyday With thousand kisses on the card saying “I love you” Would she be able to know?


          และยังมีเรื่องเล่าของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่เคยบอกภรรยาว่าเขารักเธอมากแค่ไหน จนกระทั่งเธอตายจากไป ถึงบัดนี้ เขายังคงวางดอกไม้ไว้ที่หลุมศพของเธอทุกวัน พร้อมกับรอยจูบนับพันบนการ์ดที่เขียนว่า “ผมรักคุณ” …เธอจะมีโอกาสได้รับรู้ไหม…

          - Yet, there is a story of a girl who always needed a warm hug from her daddy But she was too shy to ask for until the day he can never hug her any more…

          และยังมีเรื่องเล่าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ซึ่งต้องการอ้อมกอดอันอบอุ่นจากพ่อของเธอเสมอ แต่เธอเขินอายเกินกว่าจะเอ่ยปากออกไป…จนกระทั่งวันที่พ่อไม่สามารถกอดเธอได้ อีกต่อไป…

          - A lot of stories happen everyday you could know what had happened yesterday. How can you be sure what will happen tomorrow? Think of something you never say Are you waiting until the day? To say “I LOVE YOU”

          ทุกๆ วันเกิดเรื่องต่างๆขึ้นมากมาย คุณอาจจะรู้ว่า เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้ ลองคิดถึงบางสิ่งที่คุณไม่เคยพูด จะต้องรอให้ถึงวันไหน ที่จะบอกคำว่า “รัก”

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

อกหัก…เมื่อรักต้องจบ

ความอ้างว้างไม่ได้โหดร้ายอะไรนัก
มันก็แค่ช่วงเวลาที่เธอควรใช้มันให้กับตัวเอง
หลังจากที่วุ่นวายไปกับชีวิตคนอื่นมานานพอควร



ถ้าเธอเคยหกล้ม
เธอก็จะเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น
ไม่ใช่คิดจะไม่เดินอีกเลย

บางครั้งคนเรา
ก็ต้องยอม รับในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
และต้องยอมรับในการตัดสินใจของคนอื่น
ถึงมันจะไม่ดีกับเธอเลยก็ตาม
เพราะเราเลือกแต่เหตุการณ์นี้
ให้เกิดกับชีวิตเราไม่ได้เสมอไป

ความรักก็มีชีวิตเหมือนดอกไม้
และไม่มีแจกันใด
จะถนอมความงามของดอกไม้ไว้ได้ตลอดไปหรอก

ความเสียใจไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่หากเสียใจไม่จบสิ้น นั่นจึงแปลก

ในขณะที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
มันก็ต้องไม่ลืมที่จะหมุนรอบตัวเอง
ในขณะที่เธอรักใคร
เธอก็ต้องไม่ลืมที่จะรักตัวเอง

หากคนเรามีความรักได้ครั้งเดียวในชีวิต
นั่นจึงควรร่ำร้องเมื่อรักได้สูญหาย
แต่ความจริงแล้ว
คนเรามีความรักได้หลายพันครั้งตลอดทั้งชีวิต

เมื่อเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือใคร
นั่นคือสัญญาณเตือนว่า
เธอควรให้ความสำคัญกับตัวเองได้แล้ว

คนเราสามารถจำอะไรก็ได้
แต่เมื่อจำแล้ว
กลับไม่สามารถเลือกที่จะลืมบางส่วนของมันได้
แต่เลือกที่จะนึกถึงมันให้น้อยที่สุดได้

ไม่ว่าความรักจะทำให้วันนี้ของเธอปวดร้าวยังไง
แค่ครั้งหนึ่ง เธอเคยได้รักจากคนที่อยากรัก
เธอก็โชคดีมากแล้ว

สำหรับบางคน
ถ้าจะรัก ก็ยังไม่เจ็บ ถ้าเคยรัก ก็แค่เคยเจ็บ
แต่ถ้ายังรัก ก็จะยังเจ็บ

ขึ้นอยู่กับว่า เธออยากเป็นแค่คนที่เคยเจ็บ
หรืออยากเป็นคนที่ยังเจ็บอยู่ทุกวัน

เธอเคยฝืนใจรับใบปลิว
ที่แจกตามหน้าห้างสรรพสินค้า
เพราะเกรงใจคนแจกมันและ บางที
อาจมีคนรับความรักของเธอไป
เพราะเหตุผลอย่างเดียวกัน

สุดท้าย เขาก็ทิ้งมัน
เหมือนกับที่เธอทิ้งใบปลิวนั่นแหละ

คนบางคน
เป็นเพื่อนที่ดีได้ เป็นพี่ที่ดีได้ เป็นน้องที่ดีได้
แต่เป็นคนรักที่ดีไม่ได้
ก็ควรให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาเป็นได้ และเป็นได้ดี

หลายๆสิ่งในโลก
ล้วนถูกสร้างมาให้มีด้านตรงข้าม
มันจึงต้องมีจุดผกผันแปรเปลี่ยน
ความรักก็มีจุดเปลี่ยนของมัน
จึงเป็นเรื่องจำเป็น ที่เธอต้องยอมรับมันให้ได้

แก้วกาแฟใบโปรด แตกไปเสียแล้ว
เก็บไว้ก็บาดมือ
ความรัก จากไปเสียเสียแล้ว
เก็บไว้ก็บาดใจ

สำหรับความรักที่ผ่านมา
ควรแยกให้ได้ว่า อะไรควรจำไว้ประทับใจ
อะไรควรจำไว้เป็นบทเรียน

ค่ำคืนแห่งความเงียบเหงา
ไม่ได้ยาวนานไปกว่าคืนไหนๆ หรอก
อีกไม่นานก็เช้า ชีวิตก็วุ่นวายเหมือนเดิมแล้ว

หนังสือเล่มไหนที่อ่านแล้วไม่ถูกใจ
ก็ไม่ต้องกลับไปอ่านรอบสอง
ความทรงจำที่นึกถึงแล้วเจ็บปวด
ก็อย่าไปนึกถึงมันเป็นครั้งที่สอง

เมื่ออ่อนแอจนถึงที่สุด
ความเข้มแข็งจะเข้ามาแทนที่

เมื่อเธออยากให้หัวใจมีความรัก
ก็ต้องยินยอมที่จะให้มันเจ็บปวด

เหมือนเด็กที่อยากจะเดิน
ก็ต้องยินยอมที่จะล้มลุกคลุกคลาน

ความรู้สึกสูญเสีย ร้ายแรงเสมอ
สำหรับคนที่ไม่ยอมรับความจริง


ความเจ็บปวด
ไม่ได้ต้องการเวลาเพียงไม่กี่วันในการรักษา
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า
เธอจะเลิกเจ็บปวดเมื่อไหร่

แต่มันอยู่ที่ว่า
เธอจะใช้ชีวิตในขณะที่ยังเจ็บปวดอย่างไรต่างหาก

คนที่ควรรัก อาจไม่ใช่คนที่เธอรัก
อาจไม่ใช่คนที่รักเธอ
อาจไม่ใช่คนที่รักกันมาก่อน
อาจไม่ใช่คนที่กำลังรักอยู่
อาจไม่ใช่คนที่คิดจะรัก
แต่คนที่ควรรัก
อาจเป็นคนที่เธอยังไม่เคยรักเลยก็ได้

ทำไมต้องเรียกร้องความรักจากคนๆเ ดียว
ในเมื่อเธอก็มีความรักจากคนรอบข้างมากมาย

ไม่มีความเจ็บปวดครั้งใด
ไม่ให้ประโยชน์กับชีวิต
ขึ้นอยู่กับว่า
เธอรู้จักที่จะใช้ความเจ็บปวดนั้นทำให้เธอเข้มแข็ง
หรือปล่อยให้มันทิ่มแทง จนเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า

การเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นง่ายที่สุด
และยอมรับได้ยากที่สุด
แต่เมื่อเรายอมรับได้แล้ว
มันก็จะเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด

ความรักไม่ได้ทำร้ายใคร
แต่คนเรามักใช้มันทำร้ายตัวเอง

เด็กที่เพิ่งหกล้ม
อย่าไปถามเขาว่า
เจ็บมากมั้ย หายเจ็บหรือยัง
นั่นจะทำให้เขายิ่งร้องไห้

หัวใจที่เจ็บปวด
ก็อย่าไปถามซ้ำๆ ถึงความเจ็บนั้นเลย
ความเจ็บปวดที่ร้ายแรงที่สุด คือ
ความเจ็บปวดที่เธอเฝ้าคิดถึงแต่มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าเธอเคยล้ม
เธอก็จะเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น
นั่นเองคือเหตุผลว่า
ทำไมคนเราจึงต้องเจ็บปวดเสียบ้าง

ถ้าความรักของเธอเหมือนดอกไม้
หัวใจเขา เหมือนทะเลทราย

คงเปล่าประโยชน์ ที่เธอจะปลูกดอกไม้ให้งดงามในทะเลทราย

ระหว่างการเดินทาง
หากมีเพื่อนร่วมทางสักคน
ก็นับว่าเป็นโชคดีของเธอแล้ว
และเมื่อเขาจำเป็นต้องแยกไป
เธอควรขอบคุณที่เขาร่วมทางมา
ไม่ใช่ตัดรอนต่อว่า ที่เขาแยกทางไป

ว่ากันว่า ช่วงชีวิตของคนเรามีจำกัด
ยิ่งใช้เวลาไปกับความเศร้าโศกนานเท่าไหร่
ก็จะเหลือช่วงเวลาที่ดี ลดน้อยลง 

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ลมหายใจกับคนพิเศษ

การที่เรามองข้ามคนที่พิเศษที่สุดของเราไป ก็เท่ากับว่าเราดูถูกเค้า และกว่าที่เราจะรู้ตัวว่าเราได้ทำร้ายจิตใจของคนๆ นั้น


บางที คนพิเศษสุดคนนั้นของคุณ เค้าก็อาจจะจากคุณไปไกลแสนไกล

อยากจะขอถามทุกคนที่อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ว่า คุณจำได้ไม๊ ว่าเมื่อปีที่แล้วทั้งปี คุณหายใจเข้าและออกกี่รอบ?
จำได้หรือป่าว? งั้นจะขอถามใหม่ คุณจำได้ไม๊ เมื่อเดือนที่แล้วทั้งเดือน คุณหายใจเข้าและออกกี่รอบ? จำได้หรือป่าว?
คงจะจำไม่ได้ซินะ งั้นจะขอถามใหม่อีกครั้ง คุณจำได้ไม๊ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณหายใจเข้าออกทั้งหมด กี่รอบ?
ผมว่าคุณก็คงจะจำไม่ได้เหมือนเดิม คำถามต่อไป ก็คงจะเหมือนเดิม เมื่อวานนี้ คุณหายใจเข้าออกกี่รอบ?
ผมจะไม่รอฟังคำตอบ และจะไม่ถามคำถามต่อไป เพราะถึงถามต่อ คำตอบก็คงจะเป็นเช่นเดิม คือ "จำไม่ได้"

แปลกนะ ทั้งที่ลมหายใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ แต่กลับไม่มีใครจำได้เลยแม้แต่คนเดียวว่าเคยหายใจไปแล้วกี่ครั้ง

...เพราะอะไร???...

ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยเห็นความสำคัญของมันเลย
เราไม่เคยต้องยากลำบากเลย ที่จะได้หายใจเข้าและออกเราไม่เคยต้องกระเสือกกระสนที่จะได้หายใจในแต่ละครั้ง

...แต่ถ้าเป็นวินาทีสุดท้ายในชีวิตของคุณล่ะ???...

คุณหรืออาจจะเป็นญาติมิตรของคุณ อาจจะอ้อนวอนขอกับพระเจ้า ขอให้ท่านประทานลมหายใจอีกซักครั้งให้กับคุณ
เพื่อจะยืดเวลาให้กับคุณแม้วินาทีเดียว วินาทีที่มีค่ายิ่ง ทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวคุณ จะเฝ้าภาวนาขออย่าให้การหายใจในแต่ละครั้ง
เป็นครั้งสุดท้ายของคุณเลย

มันเป็นสิ่งมีค่าและมีความหมายที่สุด ที่ถูกมองข้ามไป และเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่มันเดินจากคุณไป มันอาจจะหันหลังกลับมา
มองคุณแล้วยิ้มที่มุมปาก หัวเราะ และสมน้ำหน้า แล้วมันจะบอกว่า "ที่นี้รู้หรือยัง ว่าฉันสำคัญต่อนายมากเพียงใด ทุกครั้งที่นายหายใจ นายทำเหมือนกับว่า ฉันเป็นเพียงแค่ทาสผู้รับใช้
เมื่อวันนี้มาถึง ฉันก็ทำได้แค่ หัวเราะ ในความโง่เขลาของนาย"

ทุกคนก็คงจะมีคนที่พิเศษที่สุดในชีวิต คนที่สำคัญไม่แพ้ลมหายใจ หรืออาจจะสำคัญน้อยกว่า ในบางคน แค่ขอให้รู้ไว ้
เมื่อวันสุดท้ายมาถึง วันที่คนๆ นั้น ต้องจากคุณไป คุณจะไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ อย่างน้อยๆ ก่อนที่เวลานั้นมาถึง

...อยากจะให้คุณดูแลคนๆ นั้นให้ดี..
...บางสิ่งที่หายไป อาจได้คืนมาราวปาฏิหารย์...
...แต่ถ้าหากคุณทิ้งขว้างไป โอกาสจะได้คืนมาคงยาก...

ไม่แน่นะ...คนที่พิเศษสุดคนนั้นของคุณ...เค้าอาจจจะมีคุณเป็นคนที่พิเศษที่สุดก็ได้นะ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

คุณค่า..ความเหงาเศร้า...


ความเหงา...เดินดุ่มมายาวไกล ...
ความเศร้า...เดินตามติดมาชิดใกล้
เหงา ...เศร้า...มุ่งไปพร้อมแวะทักทายผู้คน
ความเหงา...ปีนป่ายขึ้นท้องฟ้า
ความเศร้า...แหวกว่ายในสายธารา
ฟ้าหลั่งน้ำตารินลงมาปลอบโยนสายน้ำ
ความเหงา...ไปเยือนจันทร์เสี้ยว
ความเศร้า...เดินเลียบชายหาด
จันทร์ทอแสงทาบบนหาดทราย
ความเหงา...ล่องไปในทะเลกว้าง
ความเศร้า...วิ่งล้อสายลมที่เบาบาง
เวิ้งทะเลเงียบนิ่ง...ระลอกคลื่นอ้อยอิ่งเพราะไร้แรงลม
ความเหงา...โดดไปมาบนก้อนเมฆ
ความเศร้า...นั่งเล่นบนทุ่งกว้าง
เมฆครึ้มเหนือทุ่งว้างเกิดสร้างเป็นภาพจิตรกรรม
ความเหงา...ดีดบรรเลงเพลงพิณ
ความเศร้า...ร้องเพลงขับขาน
ยินท่วงทำนองร้าวรานของบทเพลง
ความเหงา...ขอแวะค้างที่บ้านตัวอักษร
ความเศร้า...เอนกายบนระเบียงความรู้สึก
บทกวีเหงาเศร้าลึกระบัดระบาย
ความเหงา...ลงมือปลูกแปลงดอกไม้
ความเศร้า...ผูกมัดเปลแกว่งไกว
คุณค่าสรรพสิ่งใดใด...อยู่ที่เลือกใช้...เลือกเป็น  ...

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ความรัก เหมือนนาฬิกา

ใครที่ใส่นาฬิกาบ่อย ๆ จนติด
คงจะรู้สึกได้ . . . ในวันที่นาฬิกาหายไปจากข้อมือ
ฉันเอง . . . ก็เป็นคนที่ผูกนาฬิกามาตลอด . . .
หากวันไหนลืมจะรู้สึกว่า . . . บางอย่างมันหายไป
มันว่าง ๆ และขัดเขินทุกครั้ง . . . ที่ยกข้อมือที่ว่างเปล่าขึ้นมาดู




เมื่อราวสองปีก่อน . . . ที่นาฬิกาเรือนโปรดของฉันพัง
ด้วยความไม่มีสติ . . . ฉันเอาข้อมือไปทุบผนังห้องน้ำเล่น ๆ
โชคร้าย . . . ที่มือไม่เป็นอะไร นาฬิกาต่างหากที่พินาศ .. กระจกร้าว

ฉันถอดมันออกวางไว้ . . . ไม่ยอมเอาไปซ่อม
ด้วยว่า . . . รู้สึกถึงภาพเก่า และวันเวลาที่เก็บอยู่ในนั้น
ฉัน . . . เลิกใส่นาฬิกา และพบว่า ตัวเองมีอาการยกข้อมือเก้อ
เก้ออ . . . อยู่เป็นเวลานานพอดู

ความเคยชินของคนเรา เกิดขึ้น . . .
เมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นประจำ . . . ในระยะเวลานานพอควร
และยังคงความเคยชินอยู่
เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งนั้นหายไปในระยะแรก ๆ

 จนเวลาผ่านไปนาน . . .
ฉันจึงเริ่มชิน . . . กับการแอบมองเข็มนาฬิกาบนข้อมือคนอื่น
เวลาผ่านไป พร้อมกับบาดแผลที่เริ่มเลือนหาย
ฉันคิดโง่ ๆ ว่า . . . ภาพเหล่านั้นจะตายไปพร้อมนาฬิกา แต่มันไม่ใช่

ฉันตัดสินใจซ่อมนาฬิกา
เมื่อมันกลับมาวันแรก ๆ ฉันรู้สึกไม่คุ้น
จนถึงตอนนี้ . . . ก็ยังไม่คุ้น
ฉันยังแอบมอง . . . นาฬิกาบนข้อมือคนอื่น อยู่เหมือนเดิม
ฉันรู้สึกเขินแกมขำทุกครั้ง . . . ที่แอบมองข้อมือคนอื่น
ทั้ง ๆ ที่มีนาฬิกาอยู่บนข้อมือของตัวเอง

  ฉันนึกถึงใครบางคน . . . ที่มักจะปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มเสมอ ๆ
ในบางช่วง ที่เขาหายหน้าหายเสียงไป . . .
ฉันรู้สึกขาด ๆ แต่ก็เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ
ในบางครั้ง . . . ฉันพอใจที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ
ในวันที่ไม่แข็งแรง . . .

  แต่ . . . ในบางครั้งฉันกลับรู้สึกพอใจ
กับการได้เดินคนเดียว . . . เดี่ยวเดี่ยวในวันว่าง
หรือเป็นความผูกพัน หรือเป็นเพียงความเคยชิน
หัวใจฉัน . . . ยังตอบคำถามได้ไม่กระจ่างชัดนัก



คนเราจะรู้ค่าก็ต่อเมื่อ . . . สูญเสียสิ่งนั้นไป
ฉันมักได้ยินใคร ๆ พูด
แต่ . . . ฉันกลับคิดว่า หากฉันยังมองไม่เห็น
ฉันน่าจะยอมเสียไปดีกว่า . . . เพื่อให้ซึ้งถึงคุณค่านั้น
ฉัน . . . ไม่อยากเอาเปรียบเขา
หากจะรั้งเขาไว้ด้วยความคุ้นเคย ที่ไม่ใช่ความผูกพัน
ฉัน . . . ไม่อยากโกหกตัวเอง
หากจะรั้งเขาไว้ . . . ด้วยความไม่แน่ชัด

ฉันมีคำถาม . . . ที่ยังขบไม่แตกกับคำว่า . . .
ผูกพัน หรือว่าจะเป็นแค่คุ้นเคย
บางที . . . มันอาจจะเป็นการดี
หากฉันจะอยู่ห่าง ๆ หรือตัดขาด
เพื่อให้รู้จัก . . . หัวใจของตัวเองมากขึ้น
กับใครบางคน . . . ที่ขาดหายไปจากชีวิต
อาจเป็นเหมือน . . . นาฬิกาที่ขาดสาย
อาจรู้สึกแปลบ ๆ และมองหากับการหายไปในช่วงแรก
แต่ไม่นาน . . . คงจะชิน

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

อย่าดีกับฉัน ตอนที่หัวใจเปราะบาง

อย่ารักฉัน  … เพียงเพราะสงสาร
ฉันเพิ่งผ่านความร้าวรานและชีวิตไม่ได้สดใส
คำพูดบางคำ  … มันอาจกระแทกกระทั้นทำร้ายใคร
ฉันผิดหวัง  …  ฉันเสียใจ  …  มองอะไรก็ขวางหูขวางตา



อย่าดีกับฉันตอนที่หัวใจกำลังเปราะบาง
ไม่อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดำเนินไปเพียงเพราะเหว่ว้า
จะรับได้ไหม   … ถ้าฉันแค่อยากกอดเธอในบางเวลา
ต้องการแค่ไหล่ซับน้ำตา
แต่ไม่คิดจริงจังกับความห่วงหาของใคร  …
  
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
 
อย่าดีกับฉัน ตอนที่หัวใจเปราะบาง (ริมทะเล)



อย่ารักฉัน  … เพียงเพราะสงสาร
ฉันเพิ่งผ่านความร้าวรานและชีวิตไม่ได้สดใส
คำพูดบางคำ  … มันอาจกระแทกกระทั้นทำร้ายใคร
ฉันผิดหวัง  …  ฉันเสียใจ  …  มองอะไรก็ขวางหูขวางตา



อย่าดีกับฉันตอนที่หัวใจกำลังเปราะบาง
ไม่อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดำเนินไปเพียงเพราะเหว่ว้า
จะรับได้ไหม   … ถ้าฉันแค่อยากกอดเธอในบางเวลา
ต้องการแค่ไหล่ซับน้ำตา
แต่ไม่คิดจริงจังกับความห่วงหาของใคร 


เธอจะยังรักฉันอยู่หรือเปล่า  …
ถ้าจะบอกว่า  … ฉันเหงาและยังลืมคนรักเก่าไม่ได้
ไม่คุ้มหรอกนะ … ที่จะเอาหัวใจมาเสี่ยง
และฉันไม่อยากเพลี่ยงพล้ำทำร้ายใคร  …
ขอโทษนะ  …  ที่ไม่รับน้ำใจ  …  รู้เอาไว้ฉันไม่คู่ควร

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ผู้ชายร้องไห้

“ ถ้าไม่นับเด็กผู้ชาย วัยกระเตาะ .. คุณเคยเห็นผู้ชายร้องไห้สักกี่ครั้งในชีวิต..? “
คงเห็นกันได้ไม่บ่อยครั้งนัก…



สังคมเป็นตัวบ่งชี้ให้ผู้ชายถูกเลี้ยงดูให้โตมาพร้อมกับความเข้มแข็ง
ไม่ว่าจะมาจากภายในหรือแค่ภายนอกก็ตาม
“ ลูกผู้ชาย เค้าไม่ร้องไห้กัน “
เรามักจะได้ยินมันเสมอๆ ทั้งที่ผู้ชายเองก็รู้สึกได้เท่าๆ กับผู้หญิง ..
แต่เวลาผู้หญิงร้องไห้ กับ ผู้ชายร้องไห้ มันให้ความรู้สึกที่แย่ต่างกัน ...
แต่ถ้ามีคนถามว่า ผู้ชายที่ร้องไห้เนี่ยมันดูอ่อนแอ มากไหม….
คงตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า …
“ผู้ชายที่ร้องไห้ และ ยอมรับตัวเองว่าร้องไห้ เป็นผู้ชายที่น่านับถือ ที่สุด
เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้หลอกลวงความรู้สึกของตัวเอง …”
แล้วสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเนี่ย มันมีเหตุผลจากอะไรบ้าง ???????

วันนี้ ฉันทำให้ผู้ชายคนนึงยืนร้องไห้ อยู่ตรงหน้า
ทั้งที่ชีวิตทั้งชิวิตไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นน้ำตาจากผู้ชายคนนี้ ..
ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาจะสาหัสสากรรณ์ขนาดไหน
“ฮีโร่ในดวงใจ” ผู้ชายที่มีความอดทน และ เข้มแข็งที่สุด ในสายตาฉัน…
ผู้ชายที่สอนให้ฉันอดทน เข้มแข็ง และไม่ยอมแพ้ก็อะไรง่ายๆ
สอนให้ฉันรู้จักดูแลตัวเอง และเอาชนะสายตาดูถูกของใครต่อใคร ….
ผู้ชายที่ไม่เคยมีแววตาอ่อนโยน หรือคำปลอบประโลมใดๆ ในยามที่ฉันรู้สึกท้อแท้จนไม่อยากจะทำอะไร
แต่ผู้ชายคนนี้มักมีคำพูดที่ทำให้ฉันได้คิด และลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวของตัวเองเสมอ…
ผู้ชายกระด้างไร้หัวจิตหัวใจ ในสายตาฉันเมื่อวันก่อน…
วันนี้ฉันทำให้เค้ายืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อายใคร…
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงรู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็น..
แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้ผู้ชายคนนี้ต้องร้องไห้…
ฉันร้องไห้ไปกับผู้ชายตรงหน้า..
ผู้ชายที่ก่อนหน้านี้ฉันคิดเสมอว่า เค้าไม่เคยรัก ไม่เคยห่วงฉันสักนิด
แต่วันนี้เค้าร้องไห้ ร้องไห้เพื่อฉัน…

หลายต่อหลายครั้งที่ฉันร้องไห้เพียงลำพัง กับคำพูด กับการกระทำที่เค้าแสดงออกให้เห็น …
เค้าไม่เคยใส่ใจในความเป็นไป หรือความรู้สึกของฉันสักครั้ง
และด้วยเหตุผลนี้หละมั้งที่ทำให้ฉันเองรู้สึกห่างไกลจากเค้า
ทั้งที่เรายังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ..
เค้าทำงาน ฉันก็เรียน ..
และพยายามอย่างที่สุดที่จะทำงานไปด้วยเพื่อช่วยเหลือตัวเอง และจะได้รบกวนผู้ชายคนนี้ให้น้อยที่สุด ….
อีก 20 นาทีข้างหน้าฉันต้องเข้าห้องผ่าตัด เพื่อผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้แพทย์รับประกันไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง ภายหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง ..
ฉันอาจจะหาย หรือฉันอาจจะพิการ เป็นอัมพฤก อัมพาต
ตาข้างซ้ายที่มองไม่เห็นเมื่อไม่กี่วันมานี้อาจจะปิดสนิทตลอดไป
หรือฉันอาจต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิททรา ถ้าการผ่าตัดครั้งนี้ล้มเหลว….
ผู้ชายคนเดิม ยืนอยู่ตรงหน้า ถามฉันทั้งน้ำตาว่า
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ ”
ถ้าเป็นเมื่อ 6 ปีก่อนฉันคงตอบด้วยความรู้สึกอยากจะเอาชนะว่า
“ไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไรกับใคร”
แต่วันนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันโตขึ้น ฉันได้คิด
ฉันได้พิจารณาถึงเหตุ และผลของการกระทำของผู้ชายคนนี้….
เมื่อ 6 ปีก่อน ฉันแอบเห็นพ่อคุยกับรูปภาพของแม่ในห้องพระ
ในคืนวันที่ฉันรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อบอกกับแม่ว่า …
“วันนี้เป็นวันที่พ่อเป็นสุขที่สุด ลูกเรามีงานดีๆ ทำ เรียนจบและรับปริญญาอย่างที่พ่อหวัง
พ่อหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกับสิ่งที่ผ่านมา “
พ่อนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่จะสวดมนต์ไหว้พระอย่างเคย
ฉันแอบเห็นรอยยิ้มจางๆ ของพ่อในเช้าอีกวันที่ฉันเอาใบปริญญาบัตรที่พ่วงด้วยเกียรตินิยมของฉัน
ไปให้พ่อแทนของขวัญวันเกิดของพ่อ พ่อให้สร้อยและร๊อกเกตที่ทำจากทองคำขาวให้ฉันเส้นนึง ..
ข้างในเป็นรูปของพ่อกับแม่ ฉันไม่เคยถอดมันออกจากคอฉันเลยนับจากวันที่พ่อสวมมันให้กับมือของพ่อเอง …
วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้พูดคุยกับพ่อได้นานที่สุด พ่อให้ข้อคิดดีๆ มากมายกับฉัน
และที่สำคัญพ่อทำให้ฉันรู้สึกว่าพ่อเองก็รู้สึกว่าฉันเป็นลูกพ่อเหมือนกัน ….

หลังจากวันนั้นฉันพยายามที่จะเรียนรู้ผู้ชายคนนี้มากขึ้น พยายามเข้าใจการกระทำ
และเหตุผลถึงบางครั้งจะเป็นเหตุผลที่ฉันคิดขึ้นเพื่อปลอบใจตัวเอง ฉันพยายามอย่างที่สุดที่แบ่งเบาภาระที่ผู้ชายคนนี้แบกมาทั้งชีวิตให้มากที่ สุดเท่าที่ลูกอย่างฉันจะทำได้ ฉันยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมาฉันทำงานอย่างหนัก ฉันเหนื่อย เหนื่อยมาก
เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้นของคนในบ้าน …
แต่ฉันเองก็ภูมิใจเสมอกับสิ่งที่ตัวเองทำให้ผู้ชายคนนี้
ภาพของการต่อสู้ชีวิตของผู้ชายคนนี้มักจะทำให้ฉันมีกำลังใจเสมอๆ
เวลาที่ตัวเองกำลังจะล้ม หรือ กำลังร้องไห้ …..

แต่แล้ววันนึงฉันก็พบว่า ก้อนเนื้องอกในสมองของฉัน มันเริ่มทำให้ฉันดำเนินชีวิตแบบปกติไม่ได้เสียแล้ว..
ฉันต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนที่สุดตามคำแนะนำของแพทย์….
ฉันตัดสินใจบอกพ่อในคืนวันก่อนผ่าตัดหลังจากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาเป็นปี
พ่อตามมาที่โรงพยาบาล แล้วเข้าไปคุยกับหมออยู่ประมาณ 15 นาทีแล้วกลับเข้าดูฉันในห้องพัก ..
พ่อเงียบ เงียบมาก เงียบเสียจนฉันเดาไม่ออกว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่
พ่อเอาแต่นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ เตียงฉัน นั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเช้า…
พ่อมองดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็ลุกมายืนข้างๆ เตียงฉัน มองหน้าฉัน
พูดพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ ”
ฉันขอโทษผู้ชายตรงหน้าทั้งน้ำตา …
และอธิบายถึงสิ่งที่ฉันคิดให้เค้าฟัง …

ฉันคิดไปสารพัดตั้งแต่ วันแรกที่ฉันทราบจากหมอว่าฉันเป็นโรคนี้
ระหว่างการที่ฉันพูดกับการที่ฉันเงียบ อย่างไหนที่จะทำให้พ่อเจ็บปวดน้อยที่สุด
แล้วฉันก็เลือกที่จะเงียบ และเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียว
ฉันกลัวจะทำให้พ่อเป็นห่วง เป็นกังวล ไปกับเรื่องราวของตัวเอง
และไม่อยากให้พ่อมาเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ หรือลำบากเพื่อฉันอีกแล้ว
หลังจากที่รู้ฉันก็พยายามแล้วที่จะหาทางรักษามัน แต่พระเจ้าไม่เข้าข้างฉัน
ฉันจึงต้องทำให้พ่อเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ …

ฉันจำได้ในสิ่งที่พ่อบอกพ่อสอน พ่อสอนให้ฉันเข้มแข็ง สอนให้ฉันสู้ สอนให้ฉันไม่ยอมแพ้
และวันนี้ เวลานี้ฉันก็กำลังต่อสู้กับโรคบ้าๆ นี่ด้วยความหวังว่าฉันจะต้องหาย เพื่อกลับมาดูแลพ่อ
เพื่อให้พ่อได้อยู่อย่างสบายกว่าทุกวันนี้ พ่อเหนื่อยมาพอแล้ว เหนื่อยมาทั้งชีวิตก็ว่าได้
ฉันอยากเห็นพ่อเป็นสุข และสบายกว่านี้ ฉันจึงทำทุกอย่าง อดทน และเข้มแข็ง
และนี่ก็คงจะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่จะพิสูจน์ความตั้งใจจริงของฉัน…..
พ่อกอดฉัน พร้อมพูดทั้งน้ำตาว่า ..
” พ่อขอโทษ ที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับรู้สึกหรือความเป็นไป ของลูกเลย
พ่อคิดเสมอว่าลูกเป็นคนเก่ง ลูกเข้มแข็ง และลูกก็เอาตัวรอดได้ในสังคมทุกวันนี้
ขณะที่น้องของลูกไม่เหมือนลูก น้องยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต พ่อถึงห่วงน้อง ดูแลน้อง
จนบางครั้งก็ดูเหมือนพ่อเป็นห่วงลูกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่พ่อก็รักลูกนะ
พ่อรู้ว่าลูกทำทุกอย่างเพื่อน้องเพื่อพ่อ หลายต่อหลายครั้งที่พ่อทำให้ลูกร้องไห้
แต่พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าพ่อต้องการให้ลูกเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของน้องเพราะพ่อไม่รู้ว่า
พ่อเองจะอยู่กับลูกไปได้นานแค่ไหน แต่จำไว้นะลูก ว่า พ่อรักลูก ไม่ได้น้อยไปกว่าน้องเลย “
“ขอบคุณค่ะพ่อ หนูก็รักพ่อ รักที่สุด”
เรากอดกันทั้งน้ำตา ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างที่สุด
ฉันจำได้ว่าพ่อไม่เคยกอดฉันเลยนับจากวันที่แม่จากไปเมื่อ 18 ปีก่อน
ไม่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ฉันรู้แต่ว่าวินาทีนี้ฉันต้องสู้ ต้องเข้มแข็ง ฉันจะเป็นอะไรไปไม่ได้
ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อผู้ชายที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า “ผู้ชายที่ฉันรักที่สุด”

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”



แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝนต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน

ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำคนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้

ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวันก็ยังโง่เท่าเดิม

นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้

ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ 

ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม

ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่

ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์

ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่

ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่

ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ

ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น

ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน

ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ…

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

อกหัก…เมื่อรักต้องจบ

ความอ้างว้างไม่ได้โหดร้ายอะไรนัก
มันก็แค่ช่วงเวลาที่เธอควรใช้มันให้กับตัวเอง
หลังจากที่วุ่นวายไปกับชีวิตคนอื่นมานานพอควร



ถ้าเธอเคยหกล้ม
เธอก็จะเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น
ไม่ใช่คิดจะไม่เดินอีกเลย

บางครั้งคนเรา
ก็ต้องยอม รับในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
และต้องยอมรับในการตัดสินใจของคนอื่น
ถึงมันจะไม่ดีกับเธอเลยก็ตาม
เพราะเราเลือกแต่เหตุการณ์นี้
ให้เกิดกับชีวิตเราไม่ได้เสมอไป

ความรักก็มีชีวิตเหมือนดอกไม้
และไม่มีแจกันใด
จะถนอมความงามของดอกไม้ไว้ได้ตลอดไปหรอก

ความเสียใจไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่หากเสียใจไม่จบสิ้น นั่นจึงแปลก

ในขณะที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
มันก็ต้องไม่ลืมที่จะหมุนรอบตัวเอง
ในขณะที่เธอรักใคร
เธอก็ต้องไม่ลืมที่จะรักตัวเอง

หากคนเรามีความรักได้ครั้งเดียวในชีวิต
นั่นจึงควรร่ำร้องเมื่อรักได้สูญหาย
แต่ความจริงแล้ว
คนเรามีความรักได้หลายพันครั้งตลอดทั้งชีวิต

เมื่อเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือใคร
นั่นคือสัญญาณเตือนว่า
เธอควรให้ความสำคัญกับตัวเองได้แล้ว

คนเราสามารถจำอะไรก็ได้
แต่เมื่อจำแล้ว
กลับไม่สามารถเลือกที่จะลืมบางส่วนของมันได้
แต่เลือกที่จะนึกถึงมันให้น้อยที่สุดได้

ไม่ว่าความรักจะทำให้วันนี้ของเธอปวดร้าวยังไง
แค่ครั้งหนึ่ง เธอเคยได้รักจากคนที่อยากรัก
เธอก็โชคดีมากแล้ว

สำหรับบางคน
ถ้าจะรัก ก็ยังไม่เจ็บ ถ้าเคยรัก ก็แค่เคยเจ็บ
แต่ถ้ายังรัก ก็จะยังเจ็บ

ขึ้นอยู่กับว่า เธออยากเป็นแค่คนที่เคยเจ็บ
หรืออยากเป็นคนที่ยังเจ็บอยู่ทุกวัน

เธอเคยฝืนใจรับใบปลิว
ที่แจกตามหน้าห้างสรรพสินค้า
เพราะเกรงใจคนแจกมันและ บางที
อาจมีคนรับความรักของเธอไป
เพราะเหตุผลอย่างเดียวกัน

สุดท้าย เขาก็ทิ้งมัน
เหมือนกับที่เธอทิ้งใบปลิวนั่นแหละ

คนบางคน
เป็นเพื่อนที่ดีได้ เป็นพี่ที่ดีได้ เป็นน้องที่ดีได้
แต่เป็นคนรักที่ดีไม่ได้
ก็ควรให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาเป็นได้ และเป็นได้ดี

หลายๆสิ่งในโลก
ล้วนถูกสร้างมาให้มีด้านตรงข้าม
มันจึงต้องมีจุดผกผันแปรเปลี่ยน
ความรักก็มีจุดเปลี่ยนของมัน
จึงเป็นเรื่องจำเป็น ที่เธอต้องยอมรับมันให้ได้

แก้วกาแฟใบโปรด แตกไปเสียแล้ว
เก็บไว้ก็บาดมือ
ความรัก จากไปเสียเสียแล้ว
เก็บไว้ก็บาดใจ

สำหรับความรักที่ผ่านมา
ควรแยกให้ได้ว่า อะไรควรจำไว้ประทับใจ
อะไรควรจำไว้เป็นบทเรียน

ค่ำคืนแห่งความเงียบเหงา
ไม่ได้ยาวนานไปกว่าคืนไหนๆ หรอก
อีกไม่นานก็เช้า ชีวิตก็วุ่นวายเหมือนเดิมแล้ว

หนังสือเล่มไหนที่อ่านแล้วไม่ถูกใจ
ก็ไม่ต้องกลับไปอ่านรอบสอง
ความทรงจำที่นึกถึงแล้วเจ็บปวด
ก็อย่าไปนึกถึงมันเป็นครั้งที่สอง

เมื่ออ่อนแอจนถึงที่สุด
ความเข้มแข็งจะเข้ามาแทนที่

เมื่อเธออยากให้หัวใจมีความรัก
ก็ต้องยินยอมที่จะให้มันเจ็บปวด

เหมือนเด็กที่อยากจะเดิน
ก็ต้องยินยอมที่จะล้มลุกคลุกคลาน

ความรู้สึกสูญเสีย ร้ายแรงเสมอ
สำหรับคนที่ไม่ยอมรับความจริง


ความเจ็บปวด
ไม่ได้ต้องการเวลาเพียงไม่กี่วันในการรักษา
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า
เธอจะเลิกเจ็บปวดเมื่อไหร่

แต่มันอยู่ที่ว่า
เธอจะใช้ชีวิตในขณะที่ยังเจ็บปวดอย่างไรต่างหาก

คนที่ควรรัก อาจไม่ใช่คนที่เธอรัก
อาจไม่ใช่คนที่รักเธอ
อาจไม่ใช่คนที่รักกันมาก่อน
อาจไม่ใช่คนที่กำลังรักอยู่
อาจไม่ใช่คนที่คิดจะรัก
แต่คนที่ควรรัก
อาจเป็นคนที่เธอยังไม่เคยรักเลยก็ได้

ทำไมต้องเรียกร้องความรักจากคนๆเ ดียว
ในเมื่อเธอก็มีความรักจากคนรอบข้างมากมาย

ไม่มีความเจ็บปวดครั้งใด
ไม่ให้ประโยชน์กับชีวิต
ขึ้นอยู่กับว่า
เธอรู้จักที่จะใช้ความเจ็บปวดนั้นทำให้เธอเข้มแข็ง
หรือปล่อยให้มันทิ่มแทง จนเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า

การเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นง่ายที่สุด
และยอมรับได้ยากที่สุด
แต่เมื่อเรายอมรับได้แล้ว
มันก็จะเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด

ความรักไม่ได้ทำร้ายใคร
แต่คนเรามักใช้มันทำร้ายตัวเอง

เด็กที่เพิ่งหกล้ม
อย่าไปถามเขาว่า
เจ็บมากมั้ย หายเจ็บหรือยัง
นั่นจะทำให้เขายิ่งร้องไห้

หัวใจที่เจ็บปวด
ก็อย่าไปถามซ้ำๆ ถึงความเจ็บนั้นเลย
ความเจ็บปวดที่ร้ายแรงที่สุด คือ
ความเจ็บปวดที่เธอเฝ้าคิดถึงแต่มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าเธอเคยล้ม
เธอก็จะเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น
นั่นเองคือเหตุผลว่า
ทำไมคนเราจึงต้องเจ็บปวดเสียบ้าง

ถ้าความรักของเธอเหมือนดอกไม้
หัวใจเขา เหมือนทะเลทราย

คงเปล่าประโยชน์ ที่เธอจะปลูกดอกไม้ให้งดงามในทะเลทราย

ระหว่างการเดินทาง
หากมีเพื่อนร่วมทางสักคน
ก็นับว่าเป็นโชคดีของเธอแล้ว
และเมื่อเขาจำเป็นต้องแยกไป
เธอควรขอบคุณที่เขาร่วมทางมา
ไม่ใช่ตัดรอนต่อว่า ที่เขาแยกทางไป

ว่ากันว่า ช่วงชีวิตของคนเรามีจำกัด
ยิ่งใช้เวลาไปกับความเศร้าโศกนานเท่าไหร่
ก็จะเหลือช่วงเวลาที่ดี ลดน้อยลง 

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

เส้นขนาน

คนบางคน......



ได้รักได้รู้จักกับใครสักคน...
แต่แล้ว....ก็มีอันทำให้คนสองคนเป็นได้แค่เพียงเส้นขนาน
ที่ไม่อาจบรรจบลงเอยกันได้
ด้วยเพราะใครสักคนอาจมีพันธะกับคนอีกคนก่อนอยู่แล้ว


คนบางคน......

เลือกที่จะเป็นเพียงเส้นขนานกับใครสักคน
แม้ต้องแบกรับความรักที่ท่วมท้นในใจอย่างเจ็บปวด....เงียบๆเพียงลำพัง....
ด้วยตระหนักว่า การเป็นเพียงเส้นขนานกันในวันนี้
จะทุกข์เพราะรักมักอยากอยู่ชิดใกล้กับคนที่รัก
แม้จะยึดมั่นในความรัก....................

แต่ก็ยึดมั่นในความถูกต้องเช่นเดียวกัน...........
บนเส้นขนานที่อาจดูอ้างว้าง เจ็บปวดและว้าเหว่ สับสนและปวดร้าวในใจ
แต่บนเส้นขนานที่เดียวดายเส้นนี้..................

คนบางคน.....

เรียนรู้ เข้าใจ ใน ความรัก มากขึ้น ว่า...
ความรักหากได้มาด้วยการรดน้ำพรวนดินด้วยความผิด
กิ่งก้านที่แตกดอกออกผล ล้วนแล้วแต่..............
คือร่องรอยของความเจ็บปวดและความทุกข์................


คนบางคน......

ยังคงยืนหยัด กับวันเวลาบนเส้นขนานสายนี้ที่เลือกแล้ว
ด้วยเพราะความรักและใครสักคนยังคงอยู่ในใจตลอดเวลา
อยู่กับคืนวันที่ผ่านไปและกับความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิต
บนเส้นขนานที่เดียวดายเส้นนี้ วันหนึ่ง...อาจมีใครสักคนร่วมทาง...
อาจเป็นใครคนเดิม อาจไม่ใช่....หรืออาจไม่มี...

คนบางคน......

บอกกับตัวเองอย่างมีเกียรติและภาคภูมิใจว่า "เราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
เพียงแค่นี้ ความสุขบนเส้นขนานก็ดูจะไม่ร้างลาและเดียวดายอย่างแน่นอน
อาจดูเป็นเรื่องง่ายๆที่จะทำ แต่ไม่ง่ายนักกับการลงมือทำ
แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะทำ.................................
ขอเพียงไม่ตามใจตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ..คนบางคนก็รู้ว่าตัวเองทำได้
ในชีวิตของคนเรา เราอาจเคยเป็นทั้งผู้เลือกและผู้ถูกเลือก
จะช้าหรือเร็ว จะมากหรือน้อย สักวันเราก็ต้องเลือก
หากมีโอกาสได้เลือก จงเลือกให้รอบคอบและถูกต้องที่สุด
อาจไม่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่อย่างน้อยเราก็ได้เลือกอย่างถูกต้องที่สุดแล้ว