วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

30 แนวคิดเพื่อชีวิต

1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้ 




2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย

3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่ว ๆ เท่านั้น

4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง

5. จะคิดการใดจงคิดการให้ใหญ่ ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสุขสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย

6. หัดทำสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้

7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น

8. เวลาเล่นเกมกับเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด

9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้

10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”

11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุขก็ลาออกซะ

12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไร ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก

13. ใช้เวลาน้อย ๆ ในการคิดว่า “ใคร” เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า “อะไร” คือสิ่งที่ถูก

14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ “คนโหดร้าย” แต่เราต่อสู้กับ “ความโหดร้าย” ในตัวคน

15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ

16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน

17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อย ๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่

18. เป็นคนถ่อมตน …คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด

19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด …สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้

20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม

21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า “เป็นยังไงบ้างตอนนี้” ก็บอกเขาไปเลยว่า “สบายมาก”

22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง เท่า ๆ กับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ , ไมเคิลแอนเจลโล , แม่ชีเทเรซา , ลีโอนาร์โด ดา วินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั่นเอง

23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

24. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น

25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น

26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดี ๆ ใหม่ ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น

27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น

28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด

29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ “กว้างขวาง” มากกว่าการมีชีวิตให้ “ยืนยาว”

30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หนทางสู่ความสำเร็จ

ไม่มีใครนิยมชมชอบความ ล้มเหลวสักราย นอกจากหมดอาลัยตายอยากจริงๆ ทว่าเพิ่งขึ้นต้นเถลิงศกใหม่ทั้งที จะห่อเหี่ย ใจไปทำไม หากตกงานก็ให้มองในแง่ดีว่า อีกไม่นานเราจะได้งานทำ ตั้งมั่นอย่างนี้ สักวันจะสมความปรารถนา ไม่ได้ล้อเล่นนะ พูดจริงๆเหตุนี้ จึงขอหันมาเล่าเรื่อง The Winner's Guide to Success ผู้ชนะแนะวิธีสู่ความสำเร็จในนิตยสาร รีเดอร์'ส ไดเจ็ท ดีกว่าเพราะอย่านึกนะว่า ทุกคนจะประสบความสำเร็จกันง่ายๆ ทำความดียากกว่า สร้างความเลวซะอีก คนดีๆ จึงอยู่ในสังคมลำบากกว่าไงจ๊ะ ไมเคิล เจฟฟรีย์ อารัมภบทในเชิงถามว่า รู้ไหมว่า คนที่ประสบความสำเร็จคิดอย่างไร? หรืออะไรเป็นแรงผลักดันพวกเขา? ดังนั้น เพื่อที่จะได้คำตอบเหล่านี้ หนุ่มเจฟฟรีย์ จึงดิ้นรนไปสอบถามความคิดเห็น จากตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จ ในหลายสาขาอาชีพ แล้วนำมายำรวมกันกลายเป็นแรงจูงใจ 7 ประการดังนี้

 
1. บอกกับตัวเองว่า อนาคตขึ้นอยู่กับความคิด และการกระทำของคุณเอง ไม่ต้องไปรอให้ชะตากำหนดหรือฟ้าลิขิต และยิ่งจะดีขึ้นอีก ถ้าไม่ต้องไปฟังใคร โดยเฉพาะพวกที่ชอบดูถูกดูหมิ่นเราว่า ไม่มีทางทำอย่างนี้ได้หรืออย่างนั้นได้ ใครจะไปรู้จักเราจริง พวกนี้มีปากก็พูดได้ทุกอย่าง แต่ไม่จริงเสมอไปจำไว้เลย เว้นแต่ใจของคนฟังไม่เข้มแข็งพอ คุณก็จะเป็นอย่างที่เขาบอก

2. วางเป้าหมายให้ชีวิต เช่น จะทำงานอะไร หรือมีชีวิตคู่อย่างไร ใช้สติกำหนดไว้แต่เนิ่นๆ

3. เมื่อมีเป้าหมายก็ต้อง มีการวางแผน ทำอย่างไรถึงจะได้ดั่งใจ ขอเพียงอย่าเขียนแผนมั่วเป็นใช้ได้

4. อย่าจับเสือมือเปล่า หมายถึง ต้องยอมลงทุนบ้าง เพื่อให้ได้ความสำเร็จนั้นมา ยกตัวอย่าง หากอยากเป็นหมอหรืออะไรก็แล้วแต่ ควรลงแรงและลงสมอง ใส่ใจศึกษาหาความรู้ด้วย ถ้าอยู่เฉยๆ จะเอ็นทรานซ์ติด คณะที่เราชอบได้ไง เช่นเดียวกับถ้าไม่พยายามอะไรเลย ไม่ยอมเขียนจดหมายไปสมัครงาน แล้วบริษัทห้างร้านต่างๆ จะรู้ได้อย่างไรว่า มีคุณอยู่ในโลกหรือจะติดต่อกับคุณอย่างไร

5. ทำสิ่งใดก็ควรรู้จริงในสิ่งนั้น อย่ารู้แบบเป็ด เพราะคนที่คู่ควรกับความสำเร็จ ต้องฝึกฝนจนมีทักษะสุดยอด ในงานที่ทำถึงจะถูก

6. อย่าท้อถอยง่ายๆ บอกตั้งแต่ต้นแล้วไงว่า ของแบบนี้ทำได้ยาก ต้องเผื่อใจไว้ด้วย

7. อย่าชักช้า ลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจเสียแต่บัดนี้ หากโอ้เอ้คงได้หรอก ความสำเร็จน่ะ

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คุณทำแบบไหนกับคนรัก


คนบางคน ไม่เคยนับข้อดี และข้อเสียของคนรัก
เพียงแต่รู้ว่ารัก และยอมรับในตัวตน ของคนรักได้อย่างมีความสุข
แต่บางคนคอยนับข้อดีและข้อเสียของคนรักอยู่ตลอดเวลาคอยเปรียบเทียบ
คอยกระแหนะกระแหน คอยปรับเปลี่ยนคนรัก ให้เป็นตามที่ใจตัวเองต้องการ
คนบางคนไม่อายที่จะเอ่ยคำขอโทษกับคนรัก เมื่อทำผิดพลาดลงไป
ไม่อายที่จะยอมรับความผิด และพร้อมที่จะแก้ตัวใหม่
แต่คนบางคนปากหนัก พุดคำขอโทษสักคำก็ไม่ได้ทั้งๆ ที่รู้ว่า...
คำขอโทษเพียงคำเดียว จะทำให้ปัญหาที่เกิดคลี่คลายไปในทางที่ดี
คนบางคนแม้รู้ว่าการนั่งมองคนที่ตัวเองรัก รักคนอื่นเป็นเรื่องเจ็บปวด
แต่ก็สามารถทำใจยอมรับได้ เพราะอย่างน้อยคนรักก็ได้มีความสุขกับคนที่เค้ารัก
แต่คนบางคน ไม่ยอมให้คนรักเก่าเดินต่อไปบนถนนของความรักอย่างมีความสุข
เมื่อตัวเองไม่มีความสุข ก็ไม่อยากให้คนอื่นมีความสุขด้วยเช่นกัน
คนบางคนพูดถึงคนรักแต่ในเรื่องที่ดีและสวยงาม
ยกย่องและให้เกียรติเสมอ ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าหรือลับหลัง
                                           
แต่คนบางคน ชอบทำให้คนรักเสียหน้า พูดถึงคนรักแต่ในเรื่องลบ
เรื่องร้าย ไม่เคยให้เกียรติคนรักเลย
คนบางคนไม่เคยรอให้คนรักต้องเสียน้ำตา
แต่จะรับรู้ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลง
คอยดูแลและให้กำลังใจเสมอ
แต่คนบางคน ไม่เคยได้เห็นน้ำตาของคนรัก
เพราะไม่เคยใส่ใจจะมอง
ไม่เคยสนใจความรู้สึกกันสักครั้งเดียว

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ไม่มีเวลาจริง หรือ

ชีวิตคนเราเมื่อ พิจารณาให้ดีแล้ว มันสั้นนัก มีเกิดและดับเป็นธรรมดาโลก
แต่ในขณะที่ยัง มีชีวิตอยู่นี่ซิ




มนุษย์ผู้มีปัญญาจึงควรที่จะดำรงชีวิตอย่างชาญฉลาด

พระพุทธเจ้าเคยอบรม สั่งสอนมนุษย์ไว้ว่า
ทรัพย์สินที่พึงได้จากการประกอบกิจการงานต่าง ๆ นั้น ควรแบ่งออกเป็น 4 กองเท่าๆ กัน

กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน
กองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ
กองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว
กองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม

แล้วการทำงานของ มนุษย์ล่ะ
หลายคนยังมัววุ่นแก่การทำงานโดยไม่ยอมแบ่งเวลาเหลียวหลังมอง ถึง
บุคคลที่รักและห่วงใยตนเองเลยหรือ???

มนุษย์บางคนทุ่มเวลา ทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน พร้อมกับคิดว่า
การกระทำดังนี้เป็นเรื่องที่ ถูกต้องแล้ว
แต่นั่นคือการกระทำที่โง่เขลาเป็นที่สุด

ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับงาน
โดยไม่ยอมแบ่ง ปันเวลาให้แก่ผู้ใด
แม้กระทั่งตัวเองเป็นมนุษย์ที่เขลาเบาปัญญาที่สุด บริหารไม่ได้แม้กระทั่งเวลา
24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะบริหารอะไรได้

ทำไมมนุษย์ผู้ชาญ ฉลาดจึงไม่แบ่งปันเวลาให้เสมือนหนึ่งการแบ่งปันกองเงิน
ตามคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าบ้างเล่า...

ไม่ต้องแบ่งเวลาให้ เป็นสี่กองเท่า ๆ กันหรอก
เพียงแต่แบ่งปันเวลาในแต่ละส่วนให้เหมาะสมเท่า นั้น

8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิต
8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อน
เก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อสู้กับหน้าที่การงานและ อุปสรรคในวันพรุ่งนี้
5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่าง ๆ
2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง
59 นาที สำหรับดูแลและรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย และช่วยเหลือสังคม

และ 1 นาทีของคุณ
ที่ มอบให้กับคนที่รักและห่วงใยคุณโดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะ เพียง 1 นาทีนี้ มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น

จง อย่ากล่าวว่า " ไม่มีเวลา... "
เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในโลก นี้ที่มีให้แก่มนุษย์
มนุษย์ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน ไม่มีใครมีเวลามาก
และไม่มีใครมีเวลาน้อยไปกว่านี้

24 ชั่วโมงใน 1 วัน ที่มหาเศรษฐี หรือยาจก
มีเท่าเทียมกันไม่ขาดเกินแม้แต่เศษเสี้ยวของ วินาที

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใดที่กล่าวว่า " ไม่มีเวลา "
จึงเป็นผู้ล้มเหลวในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมง
ในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า " ไม่มีเวลา "
เป็น ข้อแก้ตัวเพื่อปกปิด ความล้มเหลวเรื่องเวลาของตนเองอย่างขลาดเขลา

มนุษย์ผู้ฉลาดและ ประสบความสำเร็จในชีวิต
จึงไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงานอย่างเดียว
แต่ มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิต
ต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัด ส่วนเวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ได้อย่างลงตัว

วันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ที่มีไว้สำหรับการทำงาน การพักผ่อน การเดินทาง
มิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯ
โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้ แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต

นี่แหละ คือมนุษย์ผู้ชาญฉลาดที่รู้จัก " ใช้เวลา "
แล้ววันนี้..คุณจะยังอ้าง เหตุผลว่า
" ไม่มีเวลา " อีกหรือ?

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แง่คิดดีๆ

1. นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง  


          2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่  

          3. ลองปลูกต้นไม้เองสักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้  

          4. หลับตานิ่งๆ สัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเหลือเกิน  

          5. ระหว่างแปรงฟัน ฮัมเพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า 

         6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย  

          7. ไม่ว่าผมจะสั้น หรือยาว แค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด  

          8. การขึ้นลงบันไดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร  

          9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆ ทันทีที่คุณถามเขาว่า 'ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ?'  

          10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก  

          11. ควรหัดพูดคำว่า 'ไม่เป็นไร' ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า 'จะเอายังไง'  

          12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนเมื่อก่อน  

          13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จึงเล่าให้มันฟัง  

          14. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกทีเผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด  

          15. เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ  

          16. ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งจะดูแทบไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้  

          17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง  

          18. ก่อนจะชื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันทำให้ได้อย่างน้อยสามข้อก่อน  

          19. ถึงเสื้อกางเกง ในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น 
  
          20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง  

          21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ดีกว่า ให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด  

          22. ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปชื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกก็จะดีขึ้น  

          23. แอบรักใครสักคน ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร  

          24. ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นิ  

          25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวง ก่อนนอน  

          26. ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมคุณจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้  

          27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม มันอาจจะไม่สนุกแต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่  

          28. วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย  

          29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่านก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว  

          30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท


วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การขจัดทุกข์ด้วยตนเอง

เมื่อเกิดทุกข์มากๆ ผลที่ตามมาไม่ได้มีต่อจิตใจหรืออารมณ์ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเท่านั้น แต่จะมีผลกระทบต่อร่างกายและความเป็นอยู่ทุกอย่างของเราด้วย เช่น คนส่วนใหญ่จะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือบางคนอาจจะกินมากขึ้น นอนมากกว่าปกติ ไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากทำงาน หรือทำงานไม่ได้เพราะจิตใจว้าวุ่นถ้าเรารู้สึกว่าทุกข์มาก กลุ้มมาก ควรจะขจัดออกไปให้เร็วและมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

 

ต้องยอมรับว่าเรามีความทุกข์ต้องรีบแก้ไข
หาสาเหตุของความทุกข์นั้น ว่าเราทุกข์เรื่องอะไร ใครที่ทำให้เราทุกข์ และตัวเรามีส่วนทำให้เกิดความทุกข์เองด้วยหรือไม่ เช่น คนรักทิ้งเราไป ตัวเขาเป็นสาเหตุให้เราทุกข์ใจ แต่อาจมีสาเหตุมาจากเราด้วยหรือไม่ เป็นต้นว่า เราดูแลเขาดีพอหรือเปล่า เราทำให้เขาไม่เห็นคุณค่าในตัวเราหรือไม่ หรือเราให้ความสำคัญต่อเขามากกว่าตัวเราหรือเปล่าจนทำให้เรารู้สึกแย่ หมดคุณค่าเมื่อเขาทิ้งเราไปทั้งๆ ที่เราก็ยังมีอะไรดีๆ อีกหลายอย่าง
ระบายความทุกข์ โดยพูดคุยกับเพื่อนสนิทหรือญาติผู้ใหญ่ที่รับฟังเราไม่ต้องกลัวเขาจะหาว่า เราอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ถ้าเราไม่ได้ระบายความทุกข์ออกบ้างต้องเก็บไว้คนเดียวเราจะรู้สึกอึดอัด แต่ถ้าได้พูดให้ใครฟังบ้าง เรื่องความทุกข์นั้น จะรบกวนความรู้สึกนึกคิดของเราน้อยลง จะทำให้เรามองเห็นทางที่จะแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น เรื่องอะไร เราจะเก็บความทุกข์เอาไว้คนเดียว
หากิจกรรมทำเพื่อให้เหนื่อยและเป็น การดึงความคิดเกี่ยวกับความทุกข์ออกไปจากตนเองและช่วยให้หลุดพ้นจากวังวน ความคิดด้วยตนเอง ถ้ามีงานทำอยู่แล้วก็ควรทุ่มเทกับงานให้มาก เช่น ทำงานบ้าน ปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย
ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เช่น เปลี่ยนจากสถานที่ที่จำเจชั่วคราวเพื่อช่วยให้รู้สึกสบายใจ
หาคนสนับสนุนอาจจะเป็นการยากลำบากสัก หน่อยในการกลับเข้าไปหากลุ่มเพื่อนเพราะเรากลัวว่าเขาจะรู้เรื่องของเรา กลัวเขาประณาม กลัวถูกว่าเราแปลกไปจากเดิมแต่ถ้าเราสามารถเข้ากลุ่มเพื่อนได้เราจะรู้สึก ว่ากลุ่มสามารถช่วยทำให้จิตใจเราดีขึ้นและอาจจะช่วยเราแก้ปัญหาได้ด้วย
เมื่อเราพยายามช่วยตัวเองด้วย วิธีการต่างๆ แล้ว ยังรู้สึกไม่ดีขึ้นหรือทนความทุกข์ไม่ได้ ก็ควรจะไปพบผู้ที่มีความรู้ที่สามารถให้การช่วยเหลือเราได้ที่สถานบริการ สาธารณสุขต่างๆ ที่ใกล้บ้าน เช่น สถานีอนามัย โรงพยาบาล หรือหน่วยงานที่ให้
จงละะเว้นการแก้ปัญหาแบบต่างๆ ต่อไปนี้
อย่าแก้ปัญหาแบบวู่วามใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เมื่อเจอปัญหาให้พยายามสงบสติอารมณ์อย่างเพิ่งเอะอะโวยวาย ให้หายใจช้าๆ ลึกๆ สัก 4-5 ครั้ง หรือนับ 1-10 ก่อนจะตอบโต้อะไรออกไป จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลังกับสิ่งที่ได้ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
อย่าหนีปัญหา แล้วหันเข้าหาบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน การเที่ยวกลางคืน ฯลฯ เพื่อช่วยให้สบายใจขึ้นชั่วคราว
จงกล้าเผชิญปัญหา และอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง รีบแก้ปัญหาเสียแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้ค้างคาอยู่เป็นเวลานาน เพราะความเครียดจะสะสมมากขึ้นด้วย
อย่า คิดแต่จะพึ่งพาผู้อื่นอยู่ร่ำไป
จงถือคติ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” หัดใช้ความสามารถของตัวเองบ้าง แล้วจะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองแต่ถ้าปัญหานั้นเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ และลองใช้ความสามารถของตัวเองแล้ว ก็ยังไม่ได้ผล การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่พึงทำได้
อย่า เอาแต่ลงโทษตัวเอง
คนเราทำผิดกันได้ ถ้าพลาดไปแล้ว จงให้โอกาสตัวเองที่แก้ไขและอย่าได้ทำผิดในเรื่องเดิมซ้ำอีก การเฝ้าคิดลงโทษตัวเองไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา และไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากความทุกข์ใจเท่านั้น
อย่า โยนความผิดให้คนอื่น
จงรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ทำร่วมกัน การปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบ โดยโยนความผิดให้คนอื่น ไม่ช่วยแก้ปัญหา มีแต่จะก่อความแตกแยกให้มากขึ้นเท่านั้น
จงแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ใช้เหตุผลและใช้ความคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน โดย
คิดหาสาเหตุของปัญหาด้วยใจเป็นธรรม ไม่เข้าข้างตัวเองไม่โทษคนอื่น
คิดหาวิธีแก้ปัญหาหลายๆ วิธี ถ้าคิดเองไม่ออกอาจปรึกษาผู้ใกล้ชิดหรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า ลงมือแก้ปัญหาตามวิธีที่คิดไว้ อาจต้องใช้ความกล้าหาญ อดทน หรือต้องใช้เวลาบ้างอย่าได้ท้อถอยไปเสียก่อน ประเมินผลดูว่าวิธีที่ใช้ได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผลก็เปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นๆ ที่เตรียมไว้จนกว่าจะได้ผล

แก้ปัญหาได้ก็หายทุกข์
สาเหตุของความทุกข์ใจมาจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตระดับของความทุกข์ขึ้นอยู่กับความหนักเบาของปัญหา
ในช่วงที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จะรู้สึกเครียดมากทุกข์มาก
เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว ความเครียด ความทุกข์ใจ ก็จะหมดไป
เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น
คิดอย่างไรไม่ให้ทุกข์
ความคิด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราเกิดความทุกข์ยิ่งคิดมากก็ทุกข์มาก หากรู้จักคิดให้เป็นก็จะช่วยให้ลดความทุกข์ไปได้มาก
วิธีคิดที่เหมาะสม ได้แก่
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มาก
อย่าเอาแต่เข้มงวด จับผิด หรือตัดสินผิดถูกตัวเองและผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จงละวาง ผ่อนหนัก ผ่อนเบา ลดทิฐิมานะ รู้จักให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเคือง หัดลืมเสียบ้าง ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น
2. คิดอย่างมีเหตุผล
อย่าด่วนเชื่ออะไรง่ายๆ แล้วเก็บเอามาคิดวิตกกังวล ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนนอกจากจะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกได้ง่ายๆ แล้วยังตัดความกังวลได้ด้วย
3. คิดหลายๆ แง่มุม
ลองคิดหลายๆ ด้าน ทั้งด้านดี และด้านไม่ดี เพราะไม่ว่าคนหรือไม่ว่าเหตุการณ์อะไรก็ตามย่อมมีทั้งส่วนดี และไม่ดีประกอบกันทั้งนั้นอย่ามองเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ นอกจากนี้ควรหัดคิดในมุมของคนอื่นบ้าง เช่น สามีจะคิดอย่างไรลูกจะรู้สึกอย่างไร เจ้านายจะแก้ปัญหานี้อย่างไรเป็นต้น จะช่วยให้มองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดีๆ
ถ้าคอยคิดถึงแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องความล้มเหลว ผิดหวังหรือเรื่องไม่เป็นสุขทั้งหลายก็ยิ่งทุกข์ไปใหญ่ ควรคิดถึงเรื่องดีๆ ให้มากขึ้น เช่นคิดถึงประสบการณ์ที่เป็นสุขในอดีต ความสำเร็จในชีวิตที่ผ่านมา คำชมเชยที่ได้รับ ความดีของคู่สมรส ความมีน้ำใจของเพื่อน ฯลฯ จะช่วยให้สบายใจมากขึ้น
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง
อย่าคิดหมกมุ่นอยู่กับตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้าง รับรู้ความเป็นไปของคนใกล้ชิด และใส่ใจที่จะช่วยเหลือ สนใจปัญหาของผู้คนในสังคมบ้างบางทีคุณอาจจะพบว่าปัญหาที่คุณกำลังเป็นทุกข์ อยู่นี้ ช่างเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับปัญหาของคนอื่นๆ คุณจะรู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าคุณช่วยเหลือคนอื่นได้ คุณจะสุขใจขึ้นเป็นทวีคูณด้วย

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ข้อดีของความทุกข์



1.ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น

2.ทำให้รู้ถึงค่าของความสุข

3.ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น

4.ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทำ(ทำเพื่อให้หายทุกข์ )

5.ทำให้เรามีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามากขึ้น

6.ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น

7.ทำให้ความสุขมีค่ามากขึ้น

8.ทำให้มีความระมัดระวังมากขึ้น

9.ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น

10.ทำให้เราเห็นได้ว่าใครคือคนที่เป็นที่พึ่งยามยากของเรา

11.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่ห่วงเรา

12.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรแท้ของเรา

13.ทำให้รู้ได้ว่าเพื่อนของเรามีความสามารถแค่ไหน

14.ทำให้เรารู้ว่าใครมีความสามารถขนาดไหน

15.ทำให้เรารู้ได้ว่ามีคนไหนที่รักเราจริง

16.ทำให้เรารู้ว่าการหัวเราะเป็นสิ่งจำเป็น

17.ทำให้เราพยายามที่จะมองโลกในแง่ดีมากขึ้น

18.ทำให้เรามาค้นหาข้อดีของความทุกข์

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คู่นั้นสำคัญไฉน

 ชีวิตคู่ คือการอยู่ร่วมกันอันยาวนานของหญิงกับชาย ซึ่งได้ตัดสินใจที่จะเนินชีวิตร่วมกัน รับผิดชอบชีวิตซึ่งกันและกัน






โดยทั่วไปฝ่ายชายจะเลือกหญิงในด้านรูปร่าง หน้าตา มีลักษณะที่อ่อนโยน มีคุณสมบัติเป็นแม่บ้านแม่เรือน ในบางรายก็ต้องการมีรายได้มาช่วยครอบครัวด้วย หญิงนั้นส่วนมากจะเลือกชายที่มีความรับผิดชอบ มีการงานมั่นคง มีลักษณะเป็นผู้นำ มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัว สามารถให้ความปกป้องคุ้มครองได้ ผู้ที่มีพัฒนาการบุคลิกภาพที่เหมาะสมจะใช้เหตุผลในการเลือกคู่ครองมากกว่า ใช้อารมณ์ เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณคิดจะเลือกคู่ครอง คุณควรจะรู้จักตนเองและความต้องการของตนเอง ตลอดจนมีความคาดหวังอย่างสมเหตุสมผลในตัวของคนที่คุณเลือกมาเป็นคู่ครอง

 
  ในปัจจุบัน การให้ผู้ใหญ่จัดหาคู่ครองให้มีน้อยมาก อาจจะมีอยู่บ้างในสังคมชนบท หรือในสังคมที่ยังมีค่านิยมที่หนุ่มสาวยังมีความผูกพันกับบิดามารดาและมอบ ให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ส่วนในสังคมเมืองที่ชายหญิงมีการศึกษาสูงและมีอาชีพ มีโอกาสพบปะกันมากจึงนิยมเลือกคู่ครองด้วยตนเอง

ฉะนั้น หากคุณกำลังหาหรือกำลังเลือกใครสักคนเพื่อจะเลือกมาเป็นคู่ครองอยู่แล้วละก็ ควรคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้ดูบ้างนะคะ

1. ควรมีอายุใกล้เคียงกัน ไม่ควรแตกต่างกันเกิน 10 ปี โดยทั่วไปชายควรมีอายุมากกว่าหญิง
 

2. มีอาชีพและรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้
 

3. มีวุฒิภาวะทางอารมณ์และบทบาทสังคมอย่างเหมาะสม
 

4. มีความรักใคร่ผูกพันมีความปรารถนาดีต่อกันนับถือและยอมรับในรสนิยมและบุคลิกภาพซึ่งกันและกัน
 

5. มีบุคลิกภาพที่เข้ากันได้ มีทั้งส่วนที่เหมือนกันและต่างกัน ซึ่งไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งมากเกินไป รู้จักประนีประนอมกัน
 

6. มีความใกล้เคียงกัน หรือไม่แตกต่างกันมากในระดับการศึกษา ภูมิหลัง คุณธรรม ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ความสนใจ รสนิยมทางเพศ อุดมการณ์ของชีวิต การสังคม ความเชื่อ สภาพเศรษฐกิจ และเชื้อชาติ
 

7. มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันนานพอที่จะรู้จักกันอย่างแท้จริงในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะวิธีการแก้ปัญหาและการปรับตัวต่ออุปสรรคในการดำเนินชีวิตของแต่ละ ฝ่าย
 

8. มีโอกาสรู้จักกับครอบครัว เพื่อนและสังคมของกันและกัน
 

9. ควรทราบว่าตนต้องการคู่ครองแบบได และมีเหตุผลอย่างไร ไม่ควรใช้อารมณ์โดยปราศจากเหตุผลในการพิจารณาเลือกคู่ครอง
 

10. ไม่ควรเลือกผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองเพื่อชดเชยสิ่งที่ตนขาดแคลนหรือคาดหวังที่จะพึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
 

11. ไม่คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งตอบแทนจากอีกฝ่าย แต่ควรพิจารณาดูว่าตนเองมีบทบาทให้ความช่วยเหลือในการอยู่ร่วมกันได้เพียงไร
 

12. พร้อมที่จะปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง ไม่ควรคาดหวังว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะแก้ไขข้อบกพร่องของเขาภายหลังแต่งงาน
 

13. คำนึงไว้เสมอว่า ยังมีส่วนของบุคลิกภาพของผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองที่ยังไม่แสดงออกมาชัดเจนจนกว่าจะได้มาอยู่ร่วมกัน
 

14. ควรมีการปรึกษากันในการดำเนินชีวิตสมรส เช่นบทบาทในครอบครัว แผนชีวิตในอนาคต การใช้จ่ายเงิน และการสงเคราะห์ญาติ
  อย่างไรก็ตามปัจจัยในการเลือกคู่ครองที่กล่าวมาเบื้องต้น เป็นเพียงข้อเสนอแนะบางส่วนเท่านั้น ที่คุณสามารถจะใช้เป็นแนวทางในการเลือกคู่ได้และที่สำคัญคือ คุณควรได้มีการเตรียมตัวเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขั้นในข้างหน้า เพราะ การแต่งงานมิใช่การลดปัญหาหรือการได้ประโยชน์จากผู้อื่น แต่เป็นการเผชิญปัญหาชีวิตในอีกระดับหนึ่งที่คู่สมรสจะต้องช่วยกันประสาน ประโยชน์ในครอบครัว เพื่อความผาสุกของชีวิตร่วมกัน

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ข้อคิดดีๆ ของการใช้ชีวิตคู่

1. เป็นตัวของตัวเอง และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น อย่าพยายามเปลี่ยนคนรักของคุณให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น ขอให้รักในสิ่งที่คนรักของคุณเป็น ยังมีอีกหลายสิ่งอีกมากมายในตัวคนรักของคุณ ซึ่งมากกว่าสิ่งภายนอกที่ตาของคุณมองเห็น


         
2. มีอะไรต้องพูดกัน สำหรับคุณผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดต้องเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบางทีคุณคิดว่ามันไร้สาระ ซึ่งต่างจากผู้หญิง อย่ามัวนั่งเดาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ให้เรียนรู้ที่จะพูดและแสดงออกว่าคุณรู้สึกอย่างไร เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คุณกำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร ทำไมคุณถึงอารมณ์ไม่ดี หรือแม้แต่วันนี้ที่คุณอารมณ์ดีเนี่ยเป็นเพราะอะไร เมื่อคุณไม่ต้องการหรือคุณหยุดที่จะถ่ายทอด บอกเล่าความรู้สึกของคุณให้กับอีกฝ่ายได้รับฟัง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของความรัก
         
3. หากิจกรรมทำร่วมกัน ข้อนี้ง่ายมาก หากิจกรรมอะไรก็ตามที่ทั้งคู่สามารถทำด้วยกันแล้วมีความสุข กระทำร่วมกัน คุณอาจจะนั่งดูทีวี หรือไปเดินเล่นจูงมือกันในห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะตามแต่รสนิยมของคุณทั้งคู่ แล้วก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเรียกว่าเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน โดยคุณผู้หญิงนานๆ ที ก็ลองนั่งดูรายการฟุตบอลรายการโปรดของแฟนคุณเปลี่ยนบรรยากาศ
         
ส่วนคุณผู้ชายก็อาจจะลองไปเดิน shopping เป็นเพื่อนแฟนคุณดูสักครั้งแทนที่จะไล่ให้แฟนคุณไปช๊อบปิ้งกับเพื่อนของเธอ อาจจะทำให้ทั้งคู่เข้าใจอารมณ์ของกันและกันมากยิ่งขึ้น การที่คุณใช้เวลากับเพื่อนของคุณมากกว่ากับแฟนของคุณ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของคุณกำลังสั่นคลอน
         
4. พบกันคนละครึ่งทาง ถ้าหากแฟนหนุ่มของคุณกล้าที่จะโยนเสื้อตัวโปรด ขาดๆ เก่าๆ ที่คุณไม่ชอบของเขาทิ้ง คุณก็ไม่ควรจะโกรธถ้าเขาขอร้องให้คุณเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย ความสัมพันธ์ที่สมดุลและแนบแน่น ต้องประกอบไปด้วยการให้และการรับ เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะพบกันคนละครึ่งทาง
       
  5. แสดงความรักของคุณให้เขารู้ ลองซื้อดอกไม้ ขนม หรือน้ำหอม ให้กับคนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคุณจะคบกันมา 5 ปีแล้วก็ตาม มันจะทำให้คุณรู้สึกดีที่ได้แสดงความรักแก่คนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นการบริหารความสัมพันธ์ของคู่ของคุณ แม้ว่าจะคบกันมานาน หัดเอาใจใส่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่คุณรักและแสดงให้เขาเห็นว่า คุณใส่ใจอาจจะเป็นเรื่องอาการไม่สบาย ขนมที่เขาชอบ หรือสีโปรดของเขา สิ่งเหล่านี้เรารับรองว่าถ้าคุณลองทำ ความรักของคุณจะชุ่มชื่น จนใครๆ อิจฉา
           
6. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน หยุดล้อเล่น และหัวเราะเยาะปมด้อย หรือข้อบกพร่องในตัวเขา หากเป็นสิ่งที่คุณเคยชินที่จะทำ ลองไตร่ตรองดูว่า เขาหรือเธออาจไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกด้วยก็ได้ ถ้าหากว่าเขามีปมด้อย ตรงความเตี้ยของเขา คุณก็ควรจะหยุดเปรยชมคนตัวสูงๆ ที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามารู้มั๊ยว่านั่น เป็นการทำลายความมั่นใจและความรู้สึกของเขาโดยตรง “ความรักเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และแคร์ความรู้สึกของกันและกันตลอดเวลา”
         
7. ลืมความหลังเก่าเสีย หยุดพูดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะพูดถึงและนึกถึงเรื่องที่เศร้า หรือเรื่องผิดพลาดในอดีตของตัวเอง รู้จักให้อภัยและ เลิกขุดคุ้ยข้อผิดพลาดของกันและกัน ให้อดีตเป็นเพียงบทเรียน เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปัจจุบัน…
         
8. เลิกนิสัยขี้อิจฉาของคุณ เราพนันได้เลยว่า ทุกคนมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงกันในช่วงต้นของความสัมพันธ์ แต่อย่าเปลี่ยนความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงมาเป็นความอิจฉา วิธีทดสอบว่าคุณเริ่มอิจฉาก็คือ คุณเริ่มที่จะตรวจสอบกระเป๋าสตางค์หรือของส่วนตัวของเขา นั่นแหละใช่เลย คุณกำลังระแวงเขาอยู่ ความอิจฉาหรือความขี้หึงก็เหมือนกับยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความรักและความสัมพันธ์ของคุณ ไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่คุณไม่รู้ตัว
จงเชื่อมั่นในตัวคนรักของคุณ ความรักจะต้องมีความเชื่อใจกันเป็นพื้นฐาน
        
9. ฝึกเป็นคนรักษาคำพูด ถ้าคุณเป็นคนชอบผิดนัดและผิดสัญญา ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่อง หากคุณคิดว่าคุณจะมีคนรัก คุณก็ควรจะให้ความสำคัญแก่คนรักของคุณ และพยายามอย่าทำให้เขาผิดหวัง ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่สุดวิสัยจริงๆ เพราะมันจะทำให้เขารู้สึกแย่เมื่อคนรักของคุณต้องรอคุณทานข้าว แล้วคุณไม่มา ถ้าหากคุณไม่สามารถทำตามสัญญา ก็อย่าสัญญา เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่คนรักของคุณ เริ่มที่จะรู้สึกว่า เขาไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังจะสูญเสียเขาคนนั้นไปในไม่ช้า….
        
10. จงซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของคุณเอง และคนรักของคุณ ความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก หมายถึง คือการอธิบายความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมาแก่คนรัก อย่าปิดบังความรู้สึก ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด หรือโกรธเคือง จงบอกเขาอย่างไม่ต้องอาย…

ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ก็เป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ที่ไม่มีคุณค่าอะไร… เพียงพอที่จะเสียดาย…

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กระเทาะใจสามี นี่แหละภรรยาในฝัน

คนเราทุกคนมีความคาดหวังในเรื่องต่างๆ มากมาย ว่าแต่ภรรยาอย่างคุณล่ะคะ รู้หรือเปล่าสามีคนที่นอนอยู่ข้างๆ คุณเนี่ย เค้ามีความคาดหวังอะไรในตัวคุณบ้าง มันตรามีข้อมูลที่ไปตระเวนรวบรวมมาจากหลายที่หลายทางนำมาฝากคุณผู้หญิงทุก ท่าน ถ้าอยากรู้ว่าตรงกับคุณสามีที่รักรึเปล่า ขอยุให้ถามกันตรงๆ เลยเจ้าค่ะ




 
คือคนที่เข้าใจ

          เคยมีผู้ชายเปรียบอารมณ์ของผู้หญิงว่าเหมือนกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ ตลอดเวลา ทำให้พวกเขายากจะคาดเดา ต้องคอยติดตามและศึกษาอารมณ์ของพวกเธอให้ทันและพร้อมที่จะรับมือค่ะ
          แต่คุณเชื่อไหมคะว่าคุณผู้ชายเขาก็ต้องการให้เราเข้าใจเขาบ้างเช่นกัน ที่สำคัญคือต้องเข้าใจในความเป็นตัวตนของเขาอย่างแท้จริงนะคะ ยิ่งเข้าให้ถึงหัวใจและความคิดของเขาได้เลยยิ่งดี เพราะชีวิตคู่ของคุณจะได้อยู่อย่างราบรื่นไร้ปัญหาค่ะ
ซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา

          ความซื่อสัตย์หรือความจริงใจ ไม่ว่าใครก็ต้องการสิ่งนี้กันทุกคน ยิ่งการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้วยิ่งต้องมีให้กันมากเป็นพิเศษ พูดอย่างนี้คุณภรรยาอาจมีแอบบ่นว่า เรื่องนี้คุณสามีน่ะตัวดีเลย แต่จริงๆ แล้วความซื่อสัตย์และจริงใจในที่นี้ไม่ได้หมายความแต่เพียงเรื่องการนอกใจ แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ แต่ยังรวมไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การพูดหรือแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีปิดบังอำพรางให้อีกฝ่ายเสียใจเมื่อรู้ภายหลังค่ะ

เป็นแม่ที่ดีเพื่อลูกของเรา
          เรื่องนี้อย่าเผลอเข้าใจผิดเชียวนะคะ เป็นแม่ที่ดีของลูกนะคะอย่าเผลอเหมารวมเป็นแม่ให้ทั้งคุณสามีและคุณลูกเชียว คิดว่าคุณคงเคยได้ยินพวกผู้ชายหลายคนพูดว่า หากเขาคิดจะแต่งงานกับผู้หญิงสักคน ผู้หญิงคนนั้นจะต้องเป็นแม่ที่ดีของลูกเขา ไม่ใช่แค่คู่นอนเท่านั้น แต่เพื่อความสุขของทุกคนในครอบครัวแล้วก็ควรจะเป็นทั้งแม่ที่ดีของลูกและ ภรรยาที่ดีของสามีเลยล่ะค่ะ เมื่อจัดการได้ดีทั้งสองอย่างนี้แล้วคุณสามีจะหนีหายไปไหนเสียได้ล่ะคะ

คือกองเชียร์ที่เชื่อมั่น คอยเติมพลัง

          คนเราทุกคนคงไม่มีใครชอบที่จะถูกตำหนิหรือถูกว่ากล่าวหรอกค่ะ ฉะนั้นหากสามีของคุณเกิดมีเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้างก็ไม่ควรที่จะพูดจาตำหนิเขา ควรจะพูดให้กำลังใจกัน และหากเขามีเรื่องดีๆ ก็ควรจะชมให้เขาเกิดความรู้สึกที่ดีบ้าง ลองคิดดูสิคะหากคุณเล่าถึงความคิดหรือความฝันของคุณให้เขาฟัง แต่เขากลับมองว่ามันคือเรื่องตลก น่าขัน ไม่มีทางเป็นได้จริงคุณจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ยิ่งผู้ชายด้วยแล้วละก็หากเป็นเรื่องเพื่ออนาคตครอบครัวด้วยแล้ว จะทำให้เขารู้สึกแย่สุดๆ เลยค่ะ

คือผู้หญิงที่ต้องคอยดูแลปกป้อง

          ถึงแม้ผู้ชายยุคนี้จะชอบผู้หญิงฉลาด แต่บางครั้งก็แกล้งไม่ฉลาดหรือทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจในบางเรื่องบ้างก็ได้ การที่ผู้หญิงเก่งหรือรู้ไปหมดทุกเรื่องบางครั้งผู้ชายเขาจะรู้สึกว่าตัวเอง ไม่คู่ควรกับคุณ คุณค่าในตัวเองลดลง พวกผู้ชายเขาไม่ชอบให้ผู้หญิงรู้ทันในบางเรื่อง หรือบางครั้งแสดงออกถึงความอ่อนแอเปิดโอกาสให้ผู้ชายได้แสดงความเป็นสุภาพ บุรุษ ได้ปกป้องดูแลคุณบ้าง เขาจะได้เกิดความภาคภูมิใจบ้างไงคะ

เป็นคู่คิดและที่ปรึกษาชั้นดี

          ถึงแม้ผู้ชายจะมีภาวะความเป็นผู้นำสูง แต่บางครั้งในยามที่ตีบตันคิดอะไรไม่ออกหรือเกิดความไม่แน่ใจ เขาก็หวังจะได้ข้อคิดหรือคำปรึกษาที่ดีจากคู่ชีวิตของเขาเช่นกันค่ะ ถ้าขืนได้ยินแต่แล้วแต่คุณเถอะค่ะ ยังไงก็ได้ค่ะ คงเซ็งแย่ เดี๋ยวนี้ผู้ชายเขาชอบผู้หญิงเก่ง ฉลาด มีไหวพริบกันแล้วค่ะ ก็เดี๋ยวนี้โลกมันกว้างขึ้นเราก็ต้องตามให้ทันให้สมกับเป็น Modern Mom ไงคะ
 
ไม่เป็นของตาย

          ถ้าในชีวิตราบเรียบจนเกินไป ทำอะไรซ้ำเดิมบ่อยๆ ชีวิตคงจืดชืดแย่เลย ลองลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองดู เอาให้คนรอบข้างตะลึง ตึง ตึง ไปเลยก็ได้ (แต่ไปในทางที่ดีนะคะ) หรือลองทำอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกท้าทาย ตื่นเต้น เพิ่มรสชาติชีวิตให้ตัวเองดูบ้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งยามอยู่บนเตียงเคียงคู่กันสองคน ลองสะกิดชวนสามีดูก่อนบ้าง หรือจะลองพลิกแพลงลีลาท่าใหม่ ก็ไม่ว่ากัน มีแต่คุณสามีจะชอบซะอีกล่ะไม่ว่า
Expert Advice

          จากความต้องการข้างต้นจริงๆ แล้วก็เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนครับ การปรับตัวจากทั้งสามีและภรรยาเพื่อให้อีกฝ่ายเกิดความพึงพอใจเป็นเรื่องที่ ดี แต่ไม่ใช่ยอมให้จนกลายเป็นถูกเขากดข่มหรือตัวเองเกิดความลำบากใจ ควรจะให้อยู่บนพื้นฐานของความสุขและพึงพอใจทั้งสองฝ่ายจะดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง

          ส่วนเรื่องความเก่ง จริงๆ ผู้ชายก็ชอบผู้หญิงเก่งนะ แต่อย่าไปเก่งข่มเขาแค่นั้นเอง ที่หลายๆ ครอบครัวมีปัญหาเพราะว่าผู้หญิงเก่งกว่า จริงๆ แล้วผมว่าไม่เฉพาะผู้หญิงหรอก ถ้าผู้ชายเก่งกว่าแล้วมาข่มอีกฝ่ายครอบครัวก็มีปัญหาได้เหมือนกัน การเป็นคนเก่งนั้นดีอยู่แล้วครับ แต่ควรจะเก่งอย่างเป็นประโยชน์ ไม่ทำร้ายใคร ไม่ข่มหรือฉีกหน้ากันจะดีกว่า และเก่งแล้วก็ควรจะรู้บทบาทของตัวเอง คือเมื่อทำงานเก่งก็บริหารจัดการในที่ทำงาน เมื่ออยู่กับครอบครัวก็ควรจะแสดงบทบาทหน้าที่ในครอบครัวอย่างเหมาะสม ที่นี้ก็จะอยู่อย่างมีความสุขได้แล้วครับ

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

10 วิธี ทะเลาะกับคนรัก อย่างสร้างสรรค์

การใช้ชีวิตคู่ ก็ต้องมีการทะเลาะกันบ้าง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มี 10 วิธี การทะเลาะกับคนรักอย่างสร้างสรรค์ จะได้ช่วยให้การทะเลาะไม่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักมาบอก...
 



            1. ทะเลาะทีละเรื่อง อย่าขุดเอาความไม่พอใจเก่า ๆ ขึ้นมาพูดในทีเดียว เพราะแทนที่จะได้ข้อสรุปของหัวข้อที่ถกเถียงกันตั้งแต่แรก จะกลายเป็นการระเบิดสงครามอารมณ์ใส่กัน

            2. อย่าจับผิดรายละเอียดเล็กน้อย อย่าเถียงกันว่าเขาลืมไปรับของสำคัญของคุณวันจันทร์หรือวันอังคาร ประเด็นคือ เขาลืมของสำคัญของคุณ ไม่ใช่ วันไหนที่เขาลืม

            3. เริ่มต้นประโยคด้วยคำว่า ฉัน พูดว่า ฉันไม่พอใจเวลาคุณทำแบบนั้น แทนที่จะพูดว่า "คุณทำให้ฉันไม่พอใจเวลาทำแบบนั้น" การขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า คุณ จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกกล่าวโทษ ขณะการขึ้นต้นด้วยคำว่า ฉัน คือการบอกกล่าวความรู้สึกของคุณ

            4. อย่าพูดว่า "ไม่เคย" "เสมอ" "ควร" และ "ไม่ควร" เพราะเป็นคำที่ฟังดูแข็งกระด้าง และมีแนวโน้มจะทำให้ผู้ฟังไม่พอใจได้ง่าย และเอาเข้าจริงมันก็ไม่ถูกเสมอไป

            5. ใช้เหตุผลและความคิดเห็นที่เป็นของคุณ อย่า พยายามชักแม่น้ำทั้ง 5 ด้วยการเอาความคิดเห็นของคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พึงระลึกไว้เสมอว่า นี่เป็นเรื่องของคุณสองคนเท่านั้น

            6. พยายามอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย และอย่าลืมหยุดพักหายใจ การนั่งลงและอยู่ในอิริยาบถสบายๆ จะช่วยให้คุณสงบจิตสงบใจได้ดีกว่าการเดินพล่านไปทั่วห้อง

            7. อย่าพูดคำหยาบคาย หรือด่าทอ การต่อว่าว่าเขาแสนจะขี้เกียจ อ้วนพุงพลุ้ย หรือคิดมากไม่เข้าเรื่อง ไม่เคยช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้เลย

            8. พยายามสังเกตความรู้สึกของตัวเอง และบอกให้เขารับรู้ การบอกว่า "ฉันกลัวว่าคุณจะไม่รักฉัน" จะช่วยให้เขาเข้าใจคุณมากกว่าการพูดว่า " คุณทำตัวเหมือนไม่รักฉันเลย"

            9. อย่าขัดคอ อย่าเถียงขึ้นมา ขณะอีกฝ่ายกำลังอธิบาย หรือเอาแต่พูดพล่ามยืดยาวอยู่ฝ่ายเดียว หรือไม่พูดอะไรเลยและหวังว่าจะให้เขาอ่านใจคุณออก
            
10. ขอเวลานอก หาก คุณหรือใครคนใดคนหนึ่ง เริ่มรู้สึกรุนแรงจนอาจควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ควรหยุดการถกเถียงและแยกย้ายไปสงบจิตสงบใจสักพัก จนอารมณ์เย็นลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วจึงค่อยมาปรับความเข้าใจกันใหม่

          ถ้าไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างทะเลาะกัน ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทำไมรักถึงจืดจาง อย่างรวดเร็ว

เพราะความรักมีหลายด้าน หลายแฉกและหลายมุม ดังนั้น ความรักสำหรับบางคนจึงสุกสกาวและสว่างไสวโชติช่วงไม่รู้ดับไม่มีมอด ถือเป็นรักแล้วรักเลยและไม่มีวันซะหรอกที่จะหมดอายุกันง่ายๆ ตรงข้ามกับความรักของใครอีกหลายคนกลับเบื่อง่ายหน่ายเร็ว รักกันแป๊บๆ ปรู๊ดปร๊าดแต่เฉาเร็ว เดี๋ยวก็เซ็งเดี๋ยวก็เลิก ไม่รู้เป็นไงทำไมถึงเลิกกันเร็ว เลิกกันไวอย่างนี้นะ...ชักสงสัยแล้วดิ




           ซึ่งเอาเหอะ ใครจะรักกันช้าแต่เลิกกันไว หรือรักเร้ว เร็ว แถมเลิกกันง้าย ง่ายก็ตามที มันย่อมมีสาเหตุหรือมูลเหตุจูงใจที่คอยบั่นทอนและกัดเซาะความรักให้เจือจาง และสาละวันเตี้ยลงแหงๆ เลย

          งั้นมาดูกันดีกว่าว่า  มีอะไรบ้างนะที่เป็นสาเหตุทำให้คู่รักห่างเหินกันเร็วและเบื่อหน่ายกันอย่าง ปุ๊บปั๊บ จึงทำให้รักจืดจางต่างฝ่ายต่างหันหลังให้แก่กัน ก็เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้ไง เช่น...

1. เมื่อหมดสวย หมดหล่อ

           เพราะวังวนของสังขารมนุษย์นั้นไม่เที่ยง และคนเรายังฝืนกฎธรรมชาติไม่ค่อยจะได้ จึงทำให้ผิวพรรณของวัยหนุ่มวัยสาวพออายุมากขึ้น จึงไม่เต่งตึงเหมือนแต่ก่อน แถมบางคนพอริ้วรอยมาเยือนก็ไม่ยอมหาวิธีบำรุงผิวลบรอยเหี่ยวย่นเตรียมไว้ ล่วงหน้าซะด้วยสิ แต่อย่างว่ามนุษย์แต่ละคนกว่าจะหมดสวย หมดหล่อก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ บางคนอู๊ยกว่าจะไม่หล่อไม่สวยนู่นแน่ ต้องใช้เวลาเป็น 10-20 ปี กว่าความชราจะมาเยือน หรือจะมาพรากความงามของใบหน้าไปจากพวกเค้า

           ตอนนี้ใครที่ยังสวยและยังหล่ออยู่จึงชะล่าใจได้หน่อย กระนั้นอย่าลืมหมั่นส่องกระจกดูตัวเองบ่อยๆ ละกัน เผื่อเมื่อไหร่หน้าตาเปลี่ยนไปในทางร่วงโรยจะได้บำรุงบำเรอตัวเองได้ทันไง จ๊ะ

2. เมื่อแฟนทำให้ผิดหวัง

          เพราะทุกคนชอบตั้งความหวังไว้ที่คนรัก เช่น หวังว่าแฟนจะเป็นคนโรแมนติก แต่ที่ไหนได้ เค้าไม่โรกะติกอะไรกะคุณเอาซะเลย แถมยังเป็นคนเฉยเมย ไม่ค่อยแสดงอารมณ์และความรู้สึกซะด้วยซ้ำ ไม่งั้นก็หวังว่าแฟนจะเป็นคนช่างเอาอกเอาใจ แต่การเอาใจใส่ของเค้าไหงมีเฉพาะช่วงเริ่มต้น "ก่อร่างสร้างรัก" ก็ไม่รู้ เมื่อเป็นงี้พอเวลาผ่านไป 5 ปี 10 ปี เค้าจึงไม่ค่อยเอาใจคุณเหมือนอย่างเดิม ก็เริ่มผิดหวังแล้วเห็นมะ แล้วเมื่อคนเราพกเอาความผิดหวังเก็บไว้กะตัวมากๆ เข้า ก็ย่อมเป็นเหตุทำให้ความรักถดถอยไงเล่า โอ๊ย รู้งี้ อย่าไปตั้งความหวังอะไรกะคนรักซะก็สิ้นเรื่อง...ว่าแต่ ใครจะทำได้เนอะ

3. เมื่อหึงมากเกินไป ก็เป็นอาการไม่งามที่ทำให้แฟนหน่ายได้เหมือนกัน

          ลองคิดดูถ้าคุณรักเค้ามาก จนมัวแต่ตามหึงหวงไม่ยอมให้แฟนได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนต่างเพศ หรือแม้แต่เพื่อนฝูงซะบ้างเลย แล้วใครที่ไหนจะปลาบปลื้มกับการเป็นแฟนของคุณล่ะเจ้าคะ! แม้จริงอยู่ที่ว่า ความรักกับความห่วงหวงน่ะเป็นของคู่กัน แต่ควรแยกแยะความรักกับอาการหึงหวง ที่มักแสดงออกด้วยสายตาอาฆาตให้ออกจากกันโดยเด็ดขาดซะก่อนดีกว่า จะได้ไม่หึงปึงปังกันทีหลัง โอ๊ย มันน่าเวียนหัวจะตายไป งั้นเอางี้ดีมะ หึงแต่พองามเถอะนะที่รัก!

4. เมื่อเจ้าชู้ซะจนรับไม่ได้

           เป็นใครจะทนไหวล่ะฮะ ถ้าเผื่อมีแฟนเจ้าชู้ เที่ยวเร่ขายขนมจีบใครต่อใครดะไปทั่วน่ะ ซึ่งพวกทำตัวเจ้าชู้นี่ก็เหลือเกิน ทำไมรึจ๊ะมีแฟนคนเดียวมันจะตายรึไง?   ถึงต้องเที่ยวไปตามจีบคนโน้นที คนนี้ด้วย เนี่ยละนา เพราะมีนิสัยไม่รักเดียวใจเดียว แต่เที่ยวแจกรักไปเรื่อยๆ นี่แหละ จึงเป็นที่มาของอาการหมดรักได้ง่ายที่ซู้ด อ่ะเพราะใครอยากมีแฟนเจ้าชู้มั่ง? เชื่อดิไม่มีหรอก แม้แต่คนเจ้าชู้เองก็ไม่อยากมีแฟนเป็นแบบตัวเอง ใช่มะ... โอ๊ย อย่าทำเป็นส่ายหน้าไม่ยอมรับความจริง...เชอะ

5. เมื่อโดนโกหกบ่อยๆ ย่อมเข็ดกันบ้างสิยะ
           อื้อ ขืนมีแฟนขี้จุ๊ แบบช่างโกหกตลบตะแลงนี่ก็น่าเลิกยุ่งกับเค้าเหมือนกันนะ แหมจะคบกันแบบจริงใจไม่ได้หรือจ๊ะ ทำไมต้องโกหกกันด้วย! ใครเกิดมีแฟนเป็นคนช่างมุสาวาจา แล้วจะไปมีความสุขได้ไงกัน เพราะวันๆ เค้าต้องคอย "ปั้นน้ำเป็นตัว"  แล้วว่า วันนี้จะพูดปดกะแฟนว่าอะไรดี โอ๊ย เป็นงี้แล้วจะอยู่ด้วยกันยังไงไหว จะให้ "ทน" อยู่แล้วเดี๋ยวก็ชินกันไปเองน่ะรึ เฮ้ย...ไม่เล่นด้วย หรอกนะ

6. เมื่อแฟนติดการพนันซะจนงอมแงม

           ขืน ใครมีแฟนชอบเล่นการพนันมั่กมาก แบบว่าติดหนึบเล่นหวย, เล่นม้า, เล่นพนันบอล ฯลฯ แถมวันๆ ยังหายใจเข้าออกเป็นการพนันละก็ ท่านว่าดวงในเรื่องการมีคู่จะสั่นไหวก็คราวนี้แหละ เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะพวกบ้าการพนันน่ะ มักทุ่มเทเงินทองไปกับสิ่งเหล่านี้ซะจนหน้ามืดตามัวน่ะเซ่ แถมเผลอๆ ใช้เงินตัวเองยังไม่พอบางรายคิดเอาเงินในส่วนของแฟนไปถลุงด้วยนี่สิ ว้าย...แล้วใครจะทนไหวว้า ยิ่งพวกนี้ยิ่งชอบเล่นเสียมากกว่าจะได้ตังค์กลับคืนด้วยดิ่ เฮ่อ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม

7. เมื่อโดนแฟนใช้กำลังทำร้ายร่างกาย

           หากใครโดนแฟนใช้กำลังทำร้ายเอาละก็ อย่าไปทนเป็นกระสอบทรายให้เค้าซ้อมเชียวนะ การทำเช่นนี้แสดงถึงความถ่อย เถื่อน ที่ไม่ว่าใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้นแหละ โถ มีแต่คนรักกันเค้าจะทะนุถนอมทั้งน้ำใจและทั้งเรือนร่างให้แก่กัน แต่ไอ้นี่ดันมือไว ทีนไว มิน่าถึงได้ทำให้หมดรักกันเร็วก็เงี้ยะ

            ทั้งหมดล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้รักโรยราไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคู่รักคู่ไหนเมื่อทราบแล้ว ก็อย่าเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านี้เลยนะฮ้า จะได้ครองรักครองเรือนกันไปนานๆ โถ รักกันนานๆน่ะ ไม่ผิดกติกาสากลอะไรหรอกจ้า แถมมีแต่ใครๆ อยากเชียร์ ให้เป็นคู่กันตลอดกาลด้วยซ้ำ เอ้า...งั้นวันนี้คุณแจกจุ๊บจุ๊บแฟนรึยังจ๊ะ แล้วอย่าลืมหยอดคำหวานพูดภาษาดอกไม้ด้วยล่ะ

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปราบผู้ชายเจ้าชู้ ให้อยู่มือ

ตอบยากอยู่เหมือนกันเพราะเป็นความรู้สึกที่มีต่อการกระทำ ถ้าถามผู้หญิง แค่ฝ่ายชายชายตามองหญิงอื่นต่อหน้าต่อตา อาจถือว่าเข้าข่าย ส่วนผู้ชายอาจจะเถียงว่าของสวยใครก็อยากมอง แค่มองไม่คิดอะไร ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยจะเรียกว่าเจ้าชู้ได้อย่างไร



ความเจ้าชู้นั้นมีลีลาและระดับที่ต่างกันไป อาจมีตั้งแต่แค่ชอบมอง ไม่มีเกินเลยไปกว่านั้น หรือมองด้วยสายตาเจ้าชู้ ไม่เกรงใจใคร แต่ไม่มีอะไรเช่นกัน

บางคนออกแนวสุภาพ ชอบดูแลเอาใจใส่สาวๆ ทำตัวน่าอบอุ่นให้สาวแอบไปฝันถึงด้วยความประทับใจ
อีกระดับชอบจีบสาว พาไปกินข้าว ดูหนังบ้าง แต่ไม่มีเรื่องอย่างอื่น

อีกประเภทไม่ใช่แค่ควงกันไปไหนต่อไหน แต่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันด้วย ถึงขั้นนี้ภรรยาส่วนใหญ่คงทำใจให้ยอมรับได้ยาก ยิ่งประเภทชอบเที่ยว มีความสัมพันธ์ไม่เลือก ยิ่งกระทบความสัมพันธ์ในชีวิตคู่
ส่วนประเภทสุดท้ายเป็นแบบจริงจัง มีภรรยาหลายคน เลี้ยงดูทุกคน ลูกสามภรรยาก็สามคนด้วย ไม่ใช่ลูกสามภรรยาหนึ่ง

สำหรับผู้หญิงเรื่องเจ้าชู้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากที่สุด ให้เปรียบเทียบระหว่างสามีเจ้าชู้กับสามีดื่มเหล้า ส่วนมากขอเลือกสามีดื่มเหล้าดีกว่า เมาเหล้าแล้วกลับบ้าน ดีกว่าพวกเมาดิบไปกับสาวๆ
ยกเว้นผู้หญิงบางคนที่ประกาศตัวว่าชอบผู้ชายเจ้าชู้ เพราะคิดว่าผู้ชายเจ้าชู้มีเสน่ห์ ชอบเอาอกเอาใจ โรแมนติก รู้วิถีเอาใจสาว บอกรักได้ไม่มีเบื่อ ผู้หญิงที่อยู่ด้วยจึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่เขารักมากที่สุด แม้เขาจะมีคนอื่นก็ช่าง ขอให้เราเป็นที่หนึ่งแล้วกัน

ส่วนมากความเจ้าชู้ของผู้ชายนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน แต่เพราะความรัก คิดว่าเขารักเราเป็นคนสุดท้าย เขาจะเปลี่ยนแปลงตนเองหลังแต่งงาน หรือตอนยังไม่แต่งคิดว่าเรื่องเจ้าชู้แค่นี้ทนได้ แต่งงานไปแล้วผู้ชายเจ้าชู้อาจจะหยุดตัวเอง ยอมเป็นเสือถอดเขี้ยวเล็บ

แต่อันที่จริงการแต่งงานไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกรับผิดชอบ ความเจ้าชู้ยังคงดำเนินต่อไป แม้ผู้ชายเจ้าชู้จำนวนมากรักภรรยา ไม่อยากเสียชีวิตครอบครัว แต่อานุภาพของความตื่นเต้นเร้าใจ การได้เจอสิ่งใหม่ๆ ได้รู้สึกว่าตนเองมีเสน่ห์ ยังเป็นที่ต้องการของสาวๆ ทำให้ไม่สามารถหยุดตัวเองได้อยู่ดี

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มหัศจรรย์พลังรัก

ตอนนี้พลังรักของคุณยังเต็มเปี่ยมอยู่หรือเปล่า? ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ก็อยากจะย้ำค่ะว่าพลังรักนั้นซับซ้อนน่ามหัศจรรย์มากกว่าแค่ตามองตา ใจถึงใจ หรือแค่กุมมือกันเท่านั้น


 
          ใช่แล้วค่ะ…เราจะพาคุณไปค้นหาความมหัศจรรย์ของ “พลังรัก” ที่อาจมองไม่เห็น แต่ก็สัมผัสได้ด้วยใจไปพร้อมๆ กัน
          เชื่อค่ะว่าคุณทุกคุณย่อมมีความรัก และเชื่ออีกว่าคุณต้องสัมผัสได้ถึงพลังของความรักได้ในหลายแง่มุม พลังรักทำให้สามีภรรยายิ้มให้กันวันเปี่ยมสุข กุมมือร้องไห้ในวันเศร้า สายใยความเป็นพ่อแม่ที่ทำให้ทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่คำว่าลูก คอยเฝ้าดูแลลูกน้อยอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและหน่ายแหนง สายใยแห่งพี่น้องคลานตามกันที่บางวันแม้ไม่ได้ทำอะไรให้กันก็รู้ว่ารักกัน มากเพียงใด หรือแม้แต่การเข้าอกเข้าใจของเพื่อนรักที่ทำให้เรารู้สึกรักเพื่อนอย่าบอก ใคร ทั้งหมดเป็นเหตุจากพลังรักทั้งสิ้นค่ะ
         
          ถึงตรงนี้อยากให้คุณหลับตาสัก 15 วินาที แล้วลองคิดทบทวนกันว่าถ้าโลกนี้ไม่มีพลังรักจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเป็นอย่าง โลกจะเป็นอย่างไร…
          คุณรู้สึกเหมือนฉันไหมคะ…รู้สึกเหลือเกินว่าเหมือนอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำว่าพ่อแม่พี่น้อง สายใยรักคืออะไร สื่อสารกันไปทำไม ผูกพันกับใครเพื่ออะไร ที่น่ากลัวคือฉันเห็นสงคราม ความอดอยาก และเด็กผอมแห้งที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งตามยถากรรม
          โชคดีที่ความรักไม่ได้หายไปไหน รู้สึกอยากขอบคุณใครหรืออะไรก็ตามที่สร้างพลังรักให้กับโลกเรานี้เหลือเกินค่ะ
แต่ถ้าใครหลงลืมพลังรักไปแล้ว อยากให้อ่านเรื่องราวต่อไปนี้ค่ะ
          เรื่องของทรูแมน ดันแคน ชายวัย 38 ปี ชาวเท็กซัส …
          …วันนั้น ดันแคนถูกรถไฟน้ำหนักกว่า 20,000 ปอนด์ หรือประมาณ 9,000 กิโลกรัม ทับและเกือบกระชากวิญญาณออกจากร่างไปในทันที ขาทั้งสองข้างขาดออกจากตัว กระดูกเชิงกรานและไตเสียหายหนัก แต่เขาก็เรียกสติกลับมาและโทรเรียก 911 มาช่วยยื้อชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะเหลืออีกกี่นาที
          …วันนี้ ดันแคนหายดีแล้วค่ะ แต่ต้องนั่งรถวีลแชร์ไปตลอดชีวิต ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายกับขาที่หายไป หากแต่ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เขารอดชีวิตเพื่อเห็นลูกเติบโต เพื่อได้แสดงให้ลูกรู้ว่าเขารักลูกมาแค่ไหน ขณะเดียวกันเขาก็ยังบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม โดยการช่วยทหารที่พิการขาขาดให้หลุดพ้นจากห้วงความทุกข์ ซึ่งเขามักพูดเสมอว่า “การมีชีวิตอยู่นั้นดีเสมอ”
          กรณีนี้ทำให้ฉันนึกถึงประสบการณ์ของตัวเองค่ะ แต่ต่างกันตรงที่ฉันอยู่ในฐานะลูกที่กำลังจะเสียพ่อไป…
          เมื่อหลายเดือนก่อนพ่อของฉันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เข้าขั้นโคม่า คุณหมอบอกว่า พ่อเสียเลือดมาก สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก ตอบไม่ได้ว่าจะมีโอกาสรอดกี่เปอร์เซ็นต์
          …วันนั้น ฉันเฝ้าถามใครสักคนที่อาจกุมชะตาชีวิตเราอยู่ว่าทำไมไม่เป็นฉัน ฉันรักพ่อ ตายแทนพ่อได้ ให้ฉันตายยังดีกว่าพ่อต้องมาเป็นอย่างนี้ และวันนั้นเองทำให้ภาพความรักที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับพ่อตั้งแต่ตอนเป็น เด็กย้อนกลับมาเป็นฉากๆ เคยขี่คอพ่อ เคยนอนนับดาวด้วยกัน เคยหัวเราะกับเรื่องตลกที่พ่อเล่า ฯลฯ
          ฉันรักพ่อเหลือเกิน รักสุดหัวใจ และก็อีกนั่นแหละ ไม่ใช่แค่ฉันที่ทุกข์ทน อีกคนที่ดูแก่และโทรมไปถนัดตาก็คือแม่ ครั้งล่าสุดที่ฉันเจอท่านทั้งสอง พ่อกับแม่ไม่ค่อยคุยกัน อยู่แบบใครใคร่ทำอะไรทำ ฉันรับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป แต่เมื่อพ่อมาเป็นอย่างนี้ แม่ร้องไห้ คอยเฝ้าพ่ออยู่ไม่ห่าง นั่นทำให้ฉันรู้ว่าพลังรักที่แม่มีต่อพ่อนั้นมีมากไม่ต่างจากฉัน
          …วันนี้ พ่อหายเป็นปกติแล้ว แม้แต่คุณหมอเจ้าของไข้ยังบอกว่าไม่น่าเชื่อ… ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าเพราะความใจสู้อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อของพ่อ หรือเพราะปาฏิหาริย์แห่งรักของฉันและแม่ที่สื่อถึงพ่อกันแน่จึงทำให้พ่อฟื้น เป็นปกติ
          อย่างไรก็ตาม ฉันอยากขอบคุณเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ทำให้พลังรักของพวกเรากลับคืน ขอบคุณที่ช่วยเพิ่มพลังรักให้กับพ่อแม่ ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ว่าพลังรักของฉันยังมีให้กับพ่อแม่มากมายแค่ไหน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ขออย่าให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเสียดีกว่าค่ะ เพราะอย่างไร พลังรักของเราก็คุกรุ่นในใจอยู่แล้ว เพียงแต่บ่อยครั้งที่เรามักลืมนึกถึงพลังรักที่ควรมีให้แก่กันเท่านั้น
          และที่ฉันอยากจะบอกกับคุณก็คือ พลังรักนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรากลับหลงลืม และเลือกที่จะไม่ใส่ใจมากกว่า เพราะฉะนั้น อย่ารอให้เหตุการณ์เลวร้ายมาช่วยเรียกพลังรักให้กลับคืน หากแต่หมั่นเติมพลังรักให้กันและกันทุกวัน และตระหนักเสมอว่าพลังรักนั้นสวยงามและสร้างความสุขให้กับคุณมากขนาดไหนกัน ดีกว่าค่ะ

พลังรักทำอะไรกับคุณไว้?
          ทฤษฏีของจอห์น ลีซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง สรุปรักออกเป็น 6 รูปแบบ ได้แก่…
          1. Eros เป็นรักแรกพบ เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน และคิดว่าจะมีแต่เรื่องสวยงามเข้ามาในชีวิต โดยไม่มองความเป็นจริง 
          2. Ludus รักหลีกเลี่ยงความผูกพันลึกซึ้ง ต้องการอิสระ ไม่ชอบผูกมัด
          3. Storge รักแบบมิตรภาพ ความรักค่อยๆ พัฒนาจากความเป็นเพื่อนมาสู่คู่ชีวิต เป็นความรู้สึกรักใคร่อันเนื่องมาจากการคบหากันมาเป็นเวลานาน
          4. Pragma รักที่เกิดจากการมองหาคู่ครองที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด ใช้สมองมากกว่าหัวใจ คาดหวังความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
          5. Mania รักที่มีแต่ความหึงหวง ต้องการครอบครอง เป็นรักที่มีพลังรุนแรง ผู้ที่อยู่ในปรักแบบนี้มักทำทุกทางเพื่อให้ได้ความรัก
          6. Agape เป็นรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ให้โดยไม่หวังความรักตอบ มีแต่ความห่วงใยต้องการให้คนรักมีความสุข รักแบบนี้ได้แก่รักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกค่ะ
          แต่เวลาที่เราพูดถึงพลังแห่งความรัก มักไม่ใช่รักแรกพบของหนุ่มสาว หรือรักของคู่รักค่ะ… ทำไมพลังความรักของพ่อแม่ถึงเปี่ยมไปด้วยการทำทุกอย่างเพื่อลูก เสียสละเพื่อให้ลูกมีความสุขแม้ว่าเส้นทางนั้นจะทุกข์ทรมานสักเพียงใด ทำไมรักของพ่อแม่จึงไม่มีวันหมด และไม่เคยเห็นแก่ตัว แล้วเคยสงสัยมั้ยคะว่าสายใยที่มองไม่เห็นระหว่างสามีภรรยาบางคู่ถึงได้แน่น แฟ้นจนหาสิ่งไหนมาทำให้ขาดจากกันไม่ได้ มาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันค่ะ
          ย้อนไปตอนแรกรัก ยังจำตอนที่ตกหลุมรักกันใหม่ๆ ได้มั้ยคะ อะไรที่ทำให้คุณยอมจำนนกับพ่อของลูก หรือแม่ของลูกคนนี้?
          คุณอาจคิดว่า เพราะเธอตาสวย หรือเพราะเขาเป็นคนใจดี มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ หรืออาจคิดว่าพลังแห่งรักครั้งนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ตาสบตาหัวใจก็บอกว่าใช่ เลยก็ได้ แต่จริงๆ แล้วความมหัศจรรย์ของเรื่องราวทั้งหมดมาจากสมองทั้งสิ้นค่ะ

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จริงใจ..สบายจริง



คงเป็นเรื่องน่าเศร้า
หากคนเราต้องบิดเบือนความจริงในใจ
แล้วใส่หน้ากากเข้าหากัน

เราคงมีชีวิตอยู่กับความสุขปลอมๆ
ท่ามกลางความกลัวที่จะผิดหวัง
ทั้งที่ในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

ถอกหน้ากากออกดีไหม
จะเป็นไรไป หากใครจะอ่านสายตาของเราได้
หรือแม้แต่จะมองทะลุถึงใจของเรา

เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่เราไม่ต้องปิดบัง อำพราง
ไม่ต้องไว้ท่าไว้ทางหรือมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ
เมื่อนั่นใจของเราย่อมมีพลังอย่างเต็มที่
ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้บังเกิดขึ้น

ซึ่งต่างค้นพบพลังแห่งความจริงใจ
เป็นพลังที่เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ
แต่มีอานุภาพเหลือประมาณ

ฉะนั้น..
อย่ากลัวเลย..ที่จะเป็นคนจริงใจ
เป็นคนซื่อๆ ใสๆ
ปากกับใจตรงกัน
ถึงแม้เราไม่เก่ง ไม่ดีเด่น
ไม่ได้เป็นคนสำคัญ
ขอเพียงเรามีความจริงใจต่อกัน
แค่นี้ก็สุขสบายใจ..

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

8 วิธีถนอมรักให้ยืนยาว

“กว่าที่คน 2 คน จะรักกันได้ก็ยากพออยู่แล้ว แต่การถนอมความรักที่มีต่อกันให้ยั่งยืนยาวนานนั้น ยากยิ่งกว่า”




          ใครก็ไม่รู้พูดถึงการครองรักนี้ไว้ตรงใจดีเหลือเกิน เคยลองถามคนอื่นๆ ดูถึงเรื่องนี้ ก็มีเสียงยืนยันสนับสนุนท่วมท้นจากผู้มีประสบการณ์ว่า จริงของเขาค่ะ งานนี้ชัวร์ไม่มีมั่วนิ่ม…ได้ยินอย่างนี้แล้วบรรดาคนโสดทั้งหลายก็อย่าเพิ่ง ขยาด กลัวความรักกันไปเสียหมดนะคะ ใจเย็นๆ ก่อน เพราะถึงการรักษาความรักไม่ให้จืดจางนั้นจะยาก ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียเลยซะทีไหน
ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากให้ชีวิตคู่ของคุณอบอวลไปด้วยความรัก ความสุข คุณและเขาคนนั้นก็ไม่ควรขาดเรื่องสำคัญต่อไปนี้…
1. ซื่อสัตย์ต่อกัน
          เรื่องของความซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อกันนั้น นับเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในครอบครัว เพราะสิ่งนี้หมายรวมไปถึง การให้เกียรติ ความไว้ใจ เชื่อถือศรัทธาระหว่างคนในบ้าน การโกหกหลอกลวงและไม่ซื่อตรงต่อกันนั้น เป็นต้นเหตุให้ครอบครัวมากมายต้องแตกสลายมาแล้ว ดังนั้นถ้าไม่อยากต้องมานั่งกลุ้มใจในภายหลังก็อย่ารินอกใจกันกันเด็ดขาด
2. เปิดเผย จริงใจ
          ความปรารถนาดีอย่างจริงใจ เป็นสิ่งที่คนรักกันควรมอบให้โดยไม่ต้องร้องขอ ความกล้าที่จะติเตียน ชี้แนะถึงข้อผิดพลาด และบกพร่องในทุกๆ เรื่อง และต่างพร้อมรับฟังเพื่อช่วยกันแก้ไขข้อบกพร่อง จะทำให้รักของคุณไม่มีวันจืดจางอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจงอย่ากลัวที่จะพูดความจริงกับคนที่คุณรัก
3. หนักแน่น ไม่ใช้อารมณ์
          แม้ว่าจะรักกันเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว เป็นธรรมดาที่จะต้องมีเรื่องกระทบกระทั่ง โต้เถียงทะเลาะกันบ้าง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เพียงแต่ต้องไม่ลืมตัว ระบายความรู้สึกออกมาด้วยการใช้อารมณ์โกรธเกรี้ยว ดุด่าทำร้ายกัน ในการแก้ปัญหา แม้ว่าจะไม่พอใจขนาดไหนก็ควรตั้งสติ ข่มใจให้สงบเพื่อหาทนทางแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะคลี่คลายไปในที่สุด
4. ร่วมทุกข์ร่วมสุข
          ในยามที่เกิดปัญหาขึ้นหรืออุปสรรคในครอบครัว ต้องร่วมมือร่วมใจและอดทนที่จะฝันฝ่าต่อความยากลำบากไปด้วยกัน เป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกข้อที่ไม่ควรมองข้ามไป การปลุกปลอบคอยเป็นกำลังใจต่อกันในยามยาก ย่อมจะทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจจนเกิดเป็นความเป็นความผูกพันที่จะทำให้ ความรักที่มีต่อกันแน่นแฟ้นเพิ่มมากขึ้น
5. มีน้ำใจช่วยเหลือกัน
          การแสดงน้ำใจด้วยการช่วยเหลือคนในครอบครัว หรือคู่ชีวิตของคุณ โดยไม่ดูดายทอดธุระให้เป็นหน้าที่ของใครเพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่จะทำให้ความรักในหัวใจระหว่างกันไม่เหือดแห้งหายไป
6. ให้อภัยเมื่อทำผิด
          สุภาษิตเขายังบอกว่า “สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” แล้วจะประสาอะไรกับคนธรรมดาๆ อย่างตัวคุณเองหรือคนที่คุณรัก ที่คงจะต้องมีเรื่องผิดพลาดในชีวิตขึ้นบ้าง จงให้อภัยและให้โอกาสเขาแก้ตัวใหม่อีกครั้ง
7. ไม่ริดรอนความเป็นส่วนตัว
          ถึงแม้ว่าจะรักกันปานใด แต่มนุษย์ทุกคนยังคนรักอิสระ และต้องการเก็บความเป็นส่วนตัว (แม้จะเหลืออยู่ไม่มากนัก) เพราะฉะนั้นต้องเคารพในความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย ไม่ก้าวก่าย วุ่นวาย และให้อิสระในการใช้ชีวิตต่อกันบ้าง หมดสมัยแล้วกับการที่จะต้องฝืนใจทำสิ่งที่ไม่ชอบเพื่อเอาใจกัน ถ้าทำได้อย่างนี้ชีวิตคู่ของคุณก็จะแฮปปี้ ไม่มีปัญหา
8. บอกรักกันบ้าง

          แม้จะไม่บอกด้วยคำพูดตรงๆ แต่การกระทำที่แสดงออกถึงความรักตามสไตล์หรือแบบฉบับของคุณเอง ที่จะสื่อสารให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึกรักที่คุณมีให้ จะเป็นน้ำจิ้มรสเด็ดที่จะช่วยให้ชีวิตรักของคุณทั้งสองมีสีสันมากขึ้น ความโรแมนติก สวีทหวานแหววนานๆ เอามาใช้ให้ชุ่มฉ่ำหัวใจเสียบ้าง ก็ไม่เสียหายหรอกนะคะ
          เป็นอย่างไรบ้างคะ วิธีถนอมรักที่เอามาฝากกันในครั้งนี้ หวังว่าอ่านแล้วคงไม่ลืมเอาไปใช้กันบ้างนะคะ

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลมหายใจกับคนพิเศษ

การที่เรามองข้ามคนที่พิเศษที่สุดของเราไป ก็เท่ากับว่าเราดูถูกเค้า และกว่าที่เราจะรู้ตัวว่าเราได้ทำร้ายจิตใจของคนๆ นั้นบางที คนพิเศษสุดคนนั้นของคุณ เค้าก็อาจจะจากคุณไปไกลแสนไกล




อยากจะขอถาม ทุกคนที่อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ว่า คุณจำได้ไม๊ ว่าเมื่อปีที่แล้วทั้งปี คุณหายใจเข้าและออกกี่รอบ?จำได้หรือป่าว? งั้นจะขอถามใหม่ คุณจำได้ไม๊ เมื่อเดือนที่แล้วทั้งเดือน คุณหายใจเข้าและออกกี่รอบ? จำได้หรือป่าว?คงจะจำไม่ได้ซินะ งั้นจะขอถามใหม่อีกครั้ง คุณจำได้ไม๊ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณหายใจเข้าออกทั้งหมด กี่รอบ?ผมว่าคุณก็คงจะจำไม่ได้เหมือนเดิม คำถามต่อไป ก็คงจะเหมือนเดิม เมื่อวานนี้ คุณหายใจเข้าออกกี่รอบ?ผมจะไม่รอฟังคำตอบ และจะไม่ถามคำถามต่อไป เพราะถึงถามต่อ คำตอบก็คงจะเป็นเช่นเดิม คือ "จำไม่ได้"

แปลกนะ ทั้งที่ลมหายใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ แต่กลับไม่มีใครจำได้เลยแม้แต่คนเดียวว่าเคยหายใจไปแล้วกี่ครั้ง

...เพราะอะไร???...

ผม ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยเห็นความสำคัญของมันเลยเราไม่เคยต้องยากลำบากเลย ที่จะได้หายใจเข้าและออกเราไม่เคยต้องกระเสือกกระสนที่จะได้หายใจในแต่ละ ครั้ง

...แต่ถ้าเป็นวินาทีสุดท้ายในชีวิตของคุณล่ะ???...

คุณ หรืออาจจะเป็นญาติมิตรของคุณ อาจจะอ้อนวอนขอกับพระเจ้า ขอให้ท่านประทานลมหายใจอีกซักครั้งให้กับคุณเพื่อจะยืดเวลาให้กับคุณแม้ วินาทีเดียว วินาทีที่มีค่ายิ่ง ทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวคุณ จะเฝ้าภาวนาขออย่าให้การหายใจในแต่ละครั้งเป็นครั้งสุดท้ายของคุณเลย

มัน เป็นสิ่งมีค่าและมีความหมายที่สุด ที่ถูกมองข้ามไป และเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่มันเดินจากคุณไป มันอาจจะหันหลังกลับมามองคุณแล้วยิ้มที่มุมปาก หัวเราะ และสมน้ำหน้า แล้วมันจะบอกว่า "ที่นี้รู้หรือยัง ว่าฉันสำคัญต่อนายมากเพียงใด ทุกครั้งที่นายหายใจ นายทำเหมือนกับว่า ฉันเป็นเพียงแค่ทาสผู้รับใช้เมื่อวันนี้มาถึง ฉันก็ทำได้แค่ หัวเราะ ในความโง่เขลาของนาย"

ทุกคนก็คงจะมีคนที่พิเศษที่สุดในชีวิต คนที่สำคัญไม่แพ้ลมหายใจ หรืออาจจะสำคัญน้อยกว่า ในบางคน แค่ขอให้รู้ไว้เมื่อวันสุดท้ายมาถึง วันที่คนๆ นั้น ต้องจากคุณไป คุณจะไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ อย่างน้อยๆ ก่อนที่เวลานั้นมาถึง

...อยากจะให้คุณดูแลคนๆ นั้นให้ดี..
...บางสิ่งที่หายไป อาจได้คืนมาราวปาฏิหารย์...
...แต่ถ้าหากคุณทิ้งขว้างไป โอกาสจะได้คืนมาคงยาก...

ไม่แน่นะ...คนที่พิเศษสุดคนนั้นของคุณ...เค้าอาจจจะมีคุณเป็นคนที่พิเศษที่สุดก็ได้นะ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รู้เรื่อง…การคุมกำเนิด

การคุมกำเนิดมีวิธีการอยู่หลายวิธีที่สามารถใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด สมัยนี้ผู้หญิงยุคใหม่สามารถจะวางแผนชีวิตได้อย่างใจ เพราะมีวิธีการป้องกันตัวเองให้เลือกเยอะแยะไปหมด แล้วแต่ละแบบ มีข้อดีข้อเสียนั้น วันนี้กระปุกเวดดิ้งมีข้อมูลดีๆ มาบอกกันค่ะ
ถุงยาง


          ถุงยางคือปลอกยางเนื้อบางที่สามารถม้วนออกเพื่อครอบองคชาตขณะแข็งตัว ควรสวมถุงยางตลอดช่วงเวลาการร่วมเพศ ความน่าเชื่อถือของถุงยางจะมีมากขึ้น หากใช้ร่วมกับโฟมหรือครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางยังสามารถใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ ถุงยางมีจำหน่ายทั่วไป ทั้งในร้านอาหาร ร้านขายยา ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ถุงยางมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้ได้ถูกต้อง

ถุงยางอนามัยสตรี
          ถุงยางอนามัยสตรีคือปลอกยางที่มีความยืดหยุ่นสำหรับสอดเข้าในช่องคลอดของ ผู้หญิงเพื่อปกปิดปากมดลูก ถุงยางอนามัยสตรีมีจำหน่ายในขนาดต่าง ๆ โดยแพทย์จะต้องเป็นผู้สวมใส่ให้ ควรใช้ถุงยางอนามัยสตรีร่วมกับครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางอนามัยสตรีสามารถสวมใส่ในตอนใดก็ได้ก่อนการร่วมเพศและควรสวมทิ้งไว้ เป็นเวลาอย่างน้อยหกชั่วโมงหลังการใส่ ผู้หญิงส่วนใหญ่สามารถใส่ถุงยางอนามัยสตรีได้ ถุงยางอนามัยสตรีและครีมฆ่าเชื้ออสุจิเป็นวิธีการในการคุมกำเนิดที่เชื่อถือ ได้หากสวมใส่ลงในช่องคลอดอย่างถูกต้อง
ยาฆ่าอสุจิ
          ยาฆ่าอสุจิใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยสตรี ทั้งนี้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับการคุมกำเนิดหากใช้เพียงอย่างเดียว ผลิตภัณฑ์นี้ทำขึ้นเป็นครีม โฟม เยลลี่หรือยาสอด ยาฆ่าเชื้ออสุจิสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ยาคุมกำเนิดที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
          ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจนมีอยู่เพียงประเภทเดียวในตลาดนอร์เวย์ ยาเม็ดนี้ป้องกันการตกไข่ของผู้หญิง(เมื่อมีการผลิตไข่) เพื่อให้ยาเกิดประสิทธิภาพ จะต้องใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ยานี้ยังสามารถใช้กับหญิงให้นมบุตรได้ ยาตัวนี้มีความเชื่อถือได้ 100% หากใช้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อหาซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจน

ยาเม็ดคุมกำเนิด
          ©Stephen Meddle/Rex Features/All Over Press ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติมีจำหน่ายในท้องตลาดมากว่า 30 ปี โดยประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์สองประเภท ได้แก่ เอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ฮอร์โมนทั้งสองชนิดเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ผลิตเลียนแบบฮอร์โมนจากรังไข่ ยาเม็ดคุมกำเนิดแต่ละชนิดจะมีส่วนประกอบที่ต่างกัน แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำการใช้ยาคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับคุณและเขียนใบสั่ง ยาให้ ยาเม็ดคุมกำเนิดขัดขวางการตกไข่และทำให้ไข่ไม่สามารถฝังตัวลงในผนังมดลูกได้ ยาเม็ดคุมกำเนิดมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อซื้อยาเม็ดคุมกำเนิด
          หญิงอายุเกิน 35 ปีและสูบบุหรี่ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด รวมทั้งผู้หญิงที่มีปัญหาเส้นเลือดอุดตัน มะเร็งเต้านม โรคหัวใจหรือโรคร้ายแรงทางตับ
แหวนใส่ช่องคลอด
          แหวนใส่ช่องคลอดเป็นวงแหวนอ่อนนุ่มที่มีความยืดหยุ่นสามารถสวมลงในช่องคลอด ได้ด้วยตัวเอง แหวนใส่ช่องคลอดประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในปริมาณที่น้อยกว่ายา เม็ดคุมกำเนิด แหวนใส่ช่องคลอดจะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมา ควรใส่แหวนช่องคลอดทิ้งไว้ในช่องคลอดเป็นเวลาสามสัปดาห์ จากนั้นจึงค่อยถอดและสวมแหวนใหม่หลังผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ แหวนใส่ช่องคลอดช่วยป้องกันการตกไข่ แหวนนี้สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย สามารถหาซื้อแหวนใส่ช่องคลอดได้จากร้ายขายยาโดยต้องมีใบรับรองแพทย์ นับเป็นอุปกรณ์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ผู้หญิงที่ไม่สามารถใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจะไม่สามารถใช้แหวนคุมกำเนิดได้เช่น กัน

แผ่นคุมกำเนิด
          แผ่นคุมกำเนิดจะมีปริมาณเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในระดับเท่ากับยาเม็ดคุม กำเนิดแต่โดยการใช้ยาต่ำที่สุด ฮอร์โมนจะถูกปล่อยออกมาผ่านทางผิวหนัง แผ่นคุมกำเนิดควรจะเปลี่ยนในวันเดียวกันของแต่ละสัปดาห์รวมเป็นเวลาสาม สัปดาห์ หลังจากใช้แผ่นคุมกำเนิดไปแล้วสามสัปดาห์ คุณต้องหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ก่อนใช้แผ่นคุมกำเนิดใหม่ในวันเดียวกันของ สัปดาห์ แผ่นคุมกำเนิดใช้เพื่อป้องกันการตกไข่ สามารถหาซื้อแผ่นคุมกำเนิดได้จากร้านขายยาโดยต้องมีใบรับรองแพทย์ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเชื่อถือได้พอกับยาเม็ดคุมกำเนิด
ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่างเดียว
          ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่างเดียว (Mini pill) ประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิดเดียวคือ โปรเจสโตเจน ควรใช้ยาตัวนี้ในเวลาเดียวกันของทุกวัน หากลืมใช้ยาจนเลยเวลาไปแล้วเกินกว่า 27 ชั่วโมง จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดเพิ่มเติมสำหรับช่วง 14 วันถัดไป ให้ใช้ยาตามปกติ จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อรับยาตัวนี้
ห่วงคุมกำเนิดประเภท Hormone coils
          ห่วงคุมกำเนิดชนิดนี้ (Intrauterine System (IUS) หรือ Intrauterine Device (IUD)) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้สอดเข้าในมดลูกของผู้หญิงโดยแพทย์ การใส่ห่วงคุมกำเนิดอาจให้ความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่อาการดังกล่าวจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หากยังรู้สึกไม่สบาย ให้สอบถามจากแพทย์ ห่วงคุมกำเนิดจะไปขัดขวางการเติบโตของเยื่อบุผนังมดลูก ทำให้เชื้ออสุจิไม่สามารถเจาะเข้าในเยื่อบุปากมดลูก นอกจากนี้ยังไปขัดขวางไม่ให้เชื้ออสุจิเคลื่อนผ่านปากมดลูก ห่วงคุมกำเนิดสามารถใช้ได้เป็นเวลาหลายปี และเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีความน่าเชื่อถือสูง
ยาฝังคุมกำเนิด
          ยาฝังคุมกำเนิดมีจำหน่ายในนอร์เวย์อยู่สองประเภทด้วยกัน โดยมีขนาดเท่ากับไม้ขีดไฟและประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสโตเจนสังเคราะห์ ใช้โดยการสอดเข้าใต้ท้องแขนของผู้หญิงเป็นระยะเวลาสามถึงห้าปี ขึ้นอยู่กับชนิดที่ใช้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ฝังตัวยา ยาฝังคุมกำเนิดทำงานโดยป้องกันการตกไข่และส่งผลต่อการสร้างเมือกบริเวณปาก มดลูกทำให้เชื้ออสุจิไม่สามารถเข้าถึงมดลูกและท่อรังไข่ได้ ยาฝังคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้

ห่วงคุมกำเนิดประเภท Copper coils
          ©Steinar Myhr/Samfotoห่วงคุมกำเนิดชนิดนี้ (Intrauterine System (IUS) หรือ Intrauterine Device (IUD)) ใช้งานโดยสวมเข้าในมดลูกเหมือนกับห่วงคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน ห่วงคุมกำเนิดประเภทนี้จะขัดขวางไม่ให้ไข่ฝังตัวลงในมดลูกได้ และสามารถขัดขวางเชื้ออสุจิไม่ไห้เคลื่อนเข้าไปในมดลูก ห่วงคุมกำเนิดประเภทนี้ใช้ได้ผลดีเป็นเวลาห้าถึงสิบปี และถือเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ดีพอสมควร Copper coils สามารถทำให้ประจำเดือนมีมากกว่าปกติและอาจมีอาการปวดประจำเดือนตามมา
การทำหมัน
          การทำหมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคุมกำเนิด ผู้ชายหรือผู้หญิงที่ทำหมันจะไม่สามารถมีบุตรได้ หากทำหมันแล้วการแก้ไขในภายหลังจะทำได้ยาก ดังนั้นจึงควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำหมัน

การคุมกำเนิดฉุกเฉิน
          หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ฝ่ายหญิงตกไข่ โอกาสในการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 20% หากคุณมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้วิธีการคุมกำเนิดในช่วงนี้ คุณสามารถซื้อยาคุมกำเนิดฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ที่ร้านขายยา ยาเม็ดเหล่านี้ประกอบด้วยฮอร์โมนในปริมาณสูงซึ่งจะต้องใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพหลังจากผ่านไปสามถึงสี่ สัปดาห์เพื่อตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ ยาชนิดนี้อาจส่งผลต่อตัวอ่อนหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น หรืออาจสวมห่วงคุมกำเนิดภายในห้าวันหลังการร่วมเพศที่เพื่อป้องกันการตั้ง ครรภ์
วิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือไม่ได้
          ช่วงปลอดภัยตามทฤษฎี เราสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หากไม่มีการร่วมเพศในช่วงที่ผู้หญิงกำลังตก ไข่ แต่เป็นวิธีการที่เชื่อถือไม่ค่อยได้เนื่องจากระยะเวลาและรอบเดือนของช่วง การตกไข่ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป
วิธีการหลั่งภายนอก
          หากการร่วมเพศถูกขัดขวางก่อนการหลั่งเชื้ออสุจิ อาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เชื้ออสุจิบางส่วนอาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอดก่อนการหลั่งเกิดขึ้น ทำให้เชื้ออสุจิที่ผิวหนังรอบ ๆ ปากมดลูกเคลื่อนตัวเข้าไปในปากมดลูกได้





วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รัก อย่างไร...ไม่เป็นทุกข์

คนเราทุกคนต้องการความรัก รักแล้วก็ต้องการความสุข จนเผลอไผลคิดไปว่า รักคือความสุข อันที่จริง รักให้ได้ทั้งสุขและทุกข์ อยู่ที่เรารักอย่างไรและคาดหวังอะไรจากความรัก ต่อไปนี้เป็นวิธีคิด เพื่อสร้างมุมมองใหม่ อย่าเอาความสุขทั้งชีวิตไปฝากไว้กับใคร มีเขาแค่เพื่อ "เติมเต็ม" ก็พอ



         1. ขณะรักควรมีความสุขได้ด้วยตัวเอง คนอื่นที่เข้ามาเติมความสุขให้ ถือเป็นเพียงโบนัสที่เพิ่มเข้ามา

         2. ขณะรักควรปรารถนาให้ผู้อื่นเกิดสุขด้วย ไม่ใช่คิดถึงแต่ความสุขของเราฝ่ายเดียว เช่น เมื่อคนที่เรารักไม่รักเรา แต่เขามีความสุขของเขา แม้เราจะเศร้าก็ยังคิดได้ว่า อย่างน้อยก็ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข

         3. ลดความคาดหวัง แม้เราจะเป็นปุถุชนซึ่งคงตัดความคาดหวังไม่ได้ แต่ถ้าเรายิ่งคาดหวังจากอีกฝ่ายน้อยลงเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะสุขสมหวังก็ยิ่งมากขึ้น

         4. ยอมรับความแตกต่าง ทั้งด้านสรีระและความคิดของผู้อื่น ความคิดไม่ตรงกันนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ หากฝ่ายหนึ่งไม่พยายามทำให้อีกฝ่ายคิดเหมือนกัน และพยายามเข้าใจว่าเหตุใดจึงคิดต่างกัน ปัญหาก็จะไม่เกิด หากเข้าใจและยอมรับได้แล้ว เมื่อเห็นเขาทำตัวไม่ถูกใจ ไม่น่ารัก ขี้บ่น ใจร้อน เราก็จะปรับตัวให้เข้ากับเขาและมอบความรักให้ได้ง่ายขึ้น

         5. ยอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ความรักจึงจะยืนยาว เพราะความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาของโลก เพลงโปรด ฟังซ้ำ อาหารจานประจำ กินบ่อยก็เบื่อ ความรักที่เคยจี๋จ๋าหวานแหวว อาจจืดจางลง แต่ยังคงความผูกพันและสัมพันธ์อันดี หรือแม้จะเลิกรา บางคู่ก็ยังเป็นเพื่อนรู้ใจต่อกันได้

         6. ไม่ควรทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ หรือสิ่งที่ตนคิดว่าดีให้คนอื่นเพียงอย่างเดียว จะต้องมองถึงความต้องการของเขาด้วย จะได้ไม่ต้องมาน้อยใจว่าเราอุตส่าห์หวังดี ยอมเหน็ดเหนื่อยทำเพื่อเขา แต่เขากลับไม่เห็นคุณค่า

         7. ความเกรงใจ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะคนใกล้ชิดสนิทกัน มักคิดว่าจะสามารถทำอะไรตามใจตัวได้แทบทุกเรื่อง จนลืมนึกถึงความรู้สึกของอีกคนไป

         8. พูดจาชื่นชมในสิ่งดีของกันและกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีมอบความรักที่ควรทำ บางคนละเลยว่าอยู่ด้วยกันมานาน เรื่องดีเขาคงรู้อยู่แล้วไม่ต้องชม จึงเอาแต่พูดถึงสิ่งไม่ดีหรืออยากให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลง เอาแต่บ่นโดยไม่เคยชม คนฟังก็ท้อใจเหมือนกัน

         9. ถ้ารักแล้วไม่แสดงออกเลยอีกฝ่ายก็คงไม่รู้ เพราะเขาไม่มีตาทิพย์ แต่การแสดงความรู้สึกแค่ไหน อย่างไร  คงต้องดูว่าเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการด้วย ส่วนความต้องการของเราก็ควรบอกตรงๆ ไม่ใช่คาดหวังให้คู่ของเราเป็นหมอดู คอยเดาใจ

         และถ้าจะรักให้ดีต่อ สุขภาพจิต ทุกคนควรคิดว่าความรักนั้นเหมือนกับดอกไม้ที่สวยงาม หรือเป็นของหวานสำหรับชีวิต อย่ายึดติดว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าคิดว่า "รัก" เป็นข้าวปลาอาหารหรืออากาศที่ขาดไม่ได้!!