วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต

28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต เป็นข้อคิดที่เก็บไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อเอามาอ่านอีกทีก็พบว่ายังเป็นเรื่องที่ดีมากๆที่ควรแบ่งปันให้รับ รู้โดยทั่วกัน ได้มาจากฟอเวิร์ดเมล์เมื่อนานมาแล้ว ลองอ่านกันดูนะ


1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะทั้งชีวิตเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้

2.เมื่อมีคนเล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญ จง เป็นผู้ฟังที่ดีอย่าไปคุยทับ อย่าไปขัดคอ

3.จงตั้งใจฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น

4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ตามทางบ้างเพราะมีอะไรดีๆบางอย่างซ่อนอยู่

5.จะคิดทำการใดจงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ให้เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย

6.หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้

7.จงจำไว้ว่า ข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น

8.เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถอะ

9.ใครจะวิจารณ์เรายังงัยก็ตาม อย่าเสียเวลาไปโต้ตอบ แต่ให้ปรับปรุงตนเอง

10.จงให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”

11.อย่าให้วิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานไม่มีความสุขก็ลาออกดีกว่า

12.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก

13.ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด

14.จงจำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ ” คนโหดร้าย ” แต่กำลังสู้กับ ” ความโหดร้าย ” ในตัวคน

15.โปรดคิด คิด คิด และคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนเรามีภาระในการเก็บรักษาความลับ

16.ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะในสงครามใหญ่

17.เป็นคนถ่อมตน จำไว้ว่าคนอื่นทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จกันมามากมายก่อนเราเกิดเสียอีก

18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด จงสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้

19.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ

20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า ” เป็นไง?” ตอบไปเลยว่า ” สบายมาก”

21.อย่าพูดว่าเรามีเวลาไม่พอ เพราะทุกคนในโลกก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากัน

22.จงเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานคนอื่น

24.จริงจัง และเคี่ยวเข็ญต่อตนเองให้มาก แต่จงอ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น

25.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ว่างานนั้นจะดูแย่แค่ไหนในสายตาคนรอบข้าง

26.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ ” กว้างขวาง ” มากกว่าการมีชีวิตเพื่อ ” ยืนยาว ”

27.(บางครั้ง) อย่าไปหวังเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม

28.ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้แตกหรือทำลาย ได้แก่ ของเล่นเด็ก คำสัญญาและจิตใจของใครๆ ก็ตาม

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้างๆของความรัก


มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก ที่โรงเรียน
ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน
เวลาผ่านไป จนทั้งสองอยู่ มหาวิทยาลัยฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบผู้ชายคนนึง และถามฝ่ายชายว่า

"นี่ เธอว่า เค้าเหมาะกับเราไหม"
"เค้าก้อหล่อดีนะ นิสัยดีด้วย "
"หรอ อืม อยากให้เค้ามาอยู่ข้างๆเราจังเลยเนอะ"

ต่อมาหญิงสาวก็ได้เป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้นจิงๆ
วันนึงหญิงสาวบอกกับเพื่อนสนิทของตนว่า

"นี่ เธอไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้วเราไม่อยากให้เค้าเข้าใจผิด"
"อืม" ฝ่ายชายตอบรับ และไม่ไปส่งหญิงสาวอีก

ต่อมาหญิงสาวทะเลาะกับแฟนของตน จึงมาปรึกษาเพื่อนชายว่า
"เธอ เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ เธอว่า เราจะทำอย่างไรดีหล่ะ"
"ก้อ เธอยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายตอบ
"รักสิ รักมากด้วย"
"ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่น่า"
"อืมม"
หญิงสาวทำตามคำแนะนำของฝ่ายชาย

หลังจากนั้น วันหนึ่ง ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่มเดินกลับบ้าน
เค้าเห็นหญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง

"เธอ เป็นอะไรหน่ะ ให้เราช่วยไหม"
"เค้าไม่รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้เขาไม่เคยมาส่งเราที่บ้านเลย"
"แล้วเราจะช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"
"ช่วยอยู่กับเราซักพักได้ไหม"หญิงสาวร้องขอ

ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรเลย
ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้น

"เราควรจะทำอย่างไรดี เธอจะช่วยเราได้ไหม ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี"
"เธอยังรักเขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"
"รักสิ เรารักเค้ามากเลย"
"ถ้าอย่างนั้นก้อรักเค้าต่อไปสิ"
"แต่เค้าไม่รักเราเลยนี่น่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ
"แต่เธอก็รักเขาไม่ใช่หรอ"
และชายหนุ่มก็ส่งหญิงสาวที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน
"ถ้าเมื่อไหร่ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรานะ"
"อืม" และหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป

ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้รับโทรศัพท์จากหญิงสาว

"เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที"

เสียงของหญิงสาวดูช่างอ่อนล้า และหมดกำลัง
เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่
ชายหนุ่มไปหาเธอและไปรับเธอมาส่งบ้าน
เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้นเมื่อที่เคยถามมา

"เราจะทำอย่างไรต่อไปดี"
"เธอเลิกรักเค้าแล้วหรอ"
"ป่าว เรายังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่"
"งั้นก็เหมือนที่เราเคยพูดไว้ รักเขาต่อไป
เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรักเธอไหม
แต่ถ้าเธอยังรักเขาเธอก็คงทำได้แค่รักเขาให้มากขึ้น ให้เขารู้ว่าเธอรักเขา"

วันที่เธอเรียนจบ เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ
เธอแปลกใจมากที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอยังเรียนไม่จบ เธอถามเขาว่าทำไม
ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้เกียจไปหน่อย
ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชาหนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ
หญิงสาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน

ต่อมาแฟนหญิงสาวได้แต่งงานกับหญิงสาว
เนื่องด้วยเห็นถึงความรักที่หญิงสาวมีให้มากมาย
หญิงสาวได้ชวนเพื่อนของตนมางานแต่งของเธอ
"เราไม่ว่างจริงๆเราติดธุระหน่ะขอโทษนะ"
เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ชายหนุ่มไม่มางานแต่งจึงวางหูใส่
แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจเมื่อวันที่เธอแต่งงาน
ชายหนุ่มได้มาก่อนที่งานแต่งจะจบ

"ยินดีด้วยนะ เรามาแล้วนะ"
หญิงสาวดีใจมากที่เพื่อนของเธอมา ถึงจะเพียงชั่วเวลาสั้นๆ

ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุขกับชีวิตแต่งงาน
จนไม่ได้ติดต่อกับชายหนุ่ม
จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ทะเลาะกับสามีของตน
หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงชายหนุ่มขึ้นมา
แต่แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปเท่าไหร่
ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย

เขาจึงโทรหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น
เพื่อนของชายหนุ่มเล่าว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้
ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาร่วมหลายเดือน
หญิงสาวตกใจมากถามว่าเป็นอะไร
เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการกำเริบเพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด
ชายหนุ่มดันหายตัวไป
และเพื่อนชายยังบอกอีกว่า

"เป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ในช่วงเวลาสำคัญๆคราวที่แล้วสอบไล่ ก็หายตัวไปจากห้องสอบ"

หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว

หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่มที่โรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ต้องตกใจ
ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มีแรง
เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจทักทายเธอเป็นการใหญ่

"เป็นอย่างไรมั้ง ไม่เจอกันตั้งนาน"

หญิงสาวนิ่งเงียบซักพักน้ำตาหญิงสาวก็ออกมา

"อ้าวร้องไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วหรอจะให้เราช่วยอะไรไหม แต่เราก็คงจะแนะนำเหมือนเดิมหน่ะ"

หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่มแล้วบอกกับชายหนุ่มว่า

"วันที่เธอมารับเราเป็นวันสอบไล่ใช่ไหม"
ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้นกลับนิ่งเงียบไป
หญิงสาวจึงพูดต่อ

"และวันที่เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของฉันใช่ไหม"
ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม
หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น

"ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น มองแต่คนอื่นเรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ไหนเรารู้สึกเสียใจจริงๆที่ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"

ชายหนุ่มยิ้มขึ้นแล้วบอกกับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า

"เรา บอกแล้วไง ถ้าเรารักใครซักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรักเราหรือไม่หน่ะมันสำคัญแค่ เพียงว่าเรายังรักเธออยู่หรือเปล่า แค่เราสามารถช่วยเธอได้นั่นก็เป็นความสุขของเราแล้ว"

หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โห่อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นว่า
"ถ้าเราหายเมื่อไหร่ เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ"

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สร้างกำลังใจ ให้หายเศร้า


การมีความสุขน่ะ ไม่ได้หมายความว่า ชีวิตต้องมีทุกสิ่ง เพียบพร้อมไปซะ ทั้งหมดหรอก หากแต่ความสุขควรหมายถึง คุณตัดสินใจที่จะมองข้าม ความไม่สมบูรณ์ที่ รายล้อมรอบตัวต่างหากเล่า....


อุตส่าห์เขียน ให้กำลังใจขนาดนี้ ก็กรุณามองโลกในแง่ดีกันหน่อย เผื่อชีวิตลำบากลำบน อับจนเงิน แต่รวยน้ำใจ จะได้กระดี้กระด้าร่าเริงเบิกบานขึ้นบ้าง
อย่ามัวแต่อมทุกข์อยู่เล้ย ชีวิตก็สั้นนิดเดียว สู้ทำตัวร่าเริงไปวันๆดีกว่าน่า
แต่ ถึงแม้ทุกคนล้วนอยากมีความสุข สนุกสนาน มีเงินใช้ไม่ฝืดเคือง มีงานทำไม่ตกงานทว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง เรามักมีวันเลวร้ายเข้ามากล้ำกรายจนได้สิน่ะ เช่น
ถ้าไม่ล้มเหลวเพราะการงาน ก็อาจล้มเหลวในเรื่องเพื่อน
หรือ หากไม่ล้มเหลวเพราะครอบครัวแตกแยก ก็อาจระเนระนาดกับชีวิตคู่ก็ได้
ความล้มเหลว จึงก่อให้เกิดความผิดหวังด้วยประการฉะนี้
แต่ถ้าชีวิตมนุษย์ไม่พบเจออุปสรรคซะบ้าง สงสัยคงไม่ใช่คนแล้วน้อ แสดงว่า เป็นเทวดาแล้วนั่น

ถ้า ให้ ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ วิเคราะห์เรื่องความล้มเหลวให้ฟัง เราอาจใช้ความผิดหวัง จากการล้มเหลวใดๆก็ตาม มาช่วยให้เกิดประโยชน์และสร้างโอกาสได้เหมียนกัน ขอเพียงรู้จักคิดให้เป็น ต่อให้ผิดหวังหรือล้มเหลวแค่ไหน ย่อมไม่ทำให้พวกเรา ระคายเคืองได้หรอก
นักจิตวิทยาเค้ายกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ผ่านตัวละครอย่างนักโทษ 2 คน ซึ่งมีบุคลิกแตกต่างกันดังนี้

คนแรก มองผ่านลูกกรงออกมาภายนอก บอกตัวเองมองเห็นแต่โคลนตม ใจคอห่อเหี่ยว
ส่วนอีกคน แหงนมองท้องฟ้า มองเห็นดวงดาว แต่ใจคอยังมีความสดชื่นอยู่
เพราะ ฉะนั้น นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า เมื่อเราผิดหวังก็เหมือนกับเราเป็นนักโทษ ถูกกักขังอยู่ในวังวนของความเศร้านั่นแหละ ด้วยเหตุนี้แล้วคุณจะเลือกเป็นคน ที่มองเห็นแต่โคลนตมหรือแหงนมองฟ้าแล้วเห็น แต่ดวงดาวดีล่ะ แต่สมควรเลือกเป็นคนประเภทหลังนะ เพราะแสดงว่ายังมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไป ไอ้เรื่องจะฆ่าตัวตายหนีปัญหาชีวิตน่ะ ไม่มีวันเสียล่ะ ว่าแล้วขอเสริมสร้างกำลังใจให้มากขึ้น ดังนี้

*
หาตัวเองให้เจอ ค้นตัวเองให้พบ ว่าเรามีจุดด้อยหรือจุดเด่นตรงไหนถ้าเรามีข้อด้อย ตรงไหนก็ปรับปรุงซะ โดยเฉพาะถ้าเก็บเงินไม่อยู่ ก็ต้องหาวิธีอุดช่องโหว่นี้ให้ได้
*
ควรมีบุคลิกและนิสัยถาวรในทางที่ดี เช่น ซื่อสัตย์ กตัญญู มีความขยัน อดทน แต่เชื่อไว้เหอะว่า คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แม้จะขัดแย้งกับสังคมคนเลวได้ดี แต่ไม่ควรท้อถอยที่จะทำความดี เชื่อเหอะ

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

25 เหตุผลที่คนอกหักต้องมีชีวิตอยู่




1. อยู่เพื่อคนที่เรารัก ซึ่งมีเยอะมากมาย พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง
 
2. อยู่กินอาหารอร่อยๆ ของโปรด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก สเต๊ก ช็อกโกแลต พิซซ่า 

3. อยู่เพื่อหาแฟนใหม่(ให้ได้ และให้ดีกว่าเดิม)
 
4. อยู่เพื่อทำสิ่งดีๆ ให้กับโลก โลกกำลังรอคนดี มีฝีมืออย่างเรา
 
5. อยู่เพื่องานที่กองสุมอยู่บนโต๊ะ ถ้าไม่มีเราสักคนใครจะสะสางได้
 
6. อยู่เพื่อให้เห็นว่า เราเป็นคนเก่ง ที่ผ่านวิกฤติของชีวิตไปได้
 
7. อยู่เพื่อพิสูจน์ว่า เวลารักษาแผลใจได้จริงๆ
 
8. อยู่เพื่อจะฟังเพลงอกหักทุกเพลง ที่แต่งขึ้นมาเพื่อเรา และมันจะเพราะมาก
 
9. อยู่เพื่อที่จะพูดคุยเรื่องละคร เรื่องเกมโชว์ ไม่ต้องคุยเรื่องฟุตบอลอีกต่อไป
 
10. อยู่เพื่อจะเล่าเรื่องของวันนี้ เป็นเรื่องตลกของวันพรุ่งนี้
 
11. อยู่เพื่อจะได้ดูหนังโรแมนติก คอมเมดี้ แทนที่จะต้องดูหนังบู๊ล้างผลาญ
 
 12. อยู่เพื่อที่จะใช้ชีวิตแบบโดยไม่ต้องห่วงว่า เราจะต้องโทรบอกใครหรือใครจะต้องโทรบอกเรา
 
13. อยู่เพื่อที่จะรู้ว่าค่าโทรศัพท์ของเราลดลง จนสามารถซื้อกระเป๋า รองเท้า ที่อยากได้มานาน
 
14. อยู่เพื่อจะรู้ว่าจริงๆแล้ว ก็แค่กลับมาทำตัวให้เหมือนตอนที่ยังไม่รู้จักเขาเท่านั้นเอง
 
15. อยู่เพื่อที่จะได้แต่งตัวตามสบาย ตามสไตล์เรา
 
16. อยู่เพื่อที่จะได้ดูแลตัวเองให้สวยขึ้น
 
17. อยู่เพื่อที่จะรู้ว่า ความสวยของเราไม่ได้หยุดชะงักเหมือนความสูง
 
18. อยู่เพื่อจะเรียนรู้ว่า คนอื่นก็เจอ...และเขาก็อยู่ได้
 
19. อยู่เพื่อจะเรียนรู้ว่าชีวิตหนึ่ง...ต้องเจอบ้าง
 
20. อยู่เพื่อจะรู้ว่าการเสียน้ำตาเยอะๆ ไม่ทำให้ร่างกายเสียศูนย์เหมือนโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
 
21. อยู่เพื่อที่จะต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อให้คติ ข้อคิดกับคนอื่นได้
 
22. อยู่เพื่อที่จะพูดคุยกับเพื่อนฝูงเรื่องเฮฮาปาร์ตี้ ไม่ใช่ปรึกษาปัญหาหัวใจอีกต่อไป
 
23. อยู่เพื่อเรียนรู้ว่าการเดินคนเดียวทำให้มีพื้นที่เดินเยอะขึ้น
 
24. อยู่เพื่อที่จะเพิ่มคนเข้มแข็งให้กับโลกอีกหนึ่งคน
 
25. อยู่เพื่อให้เขาเห็นว่า ไม่มีเขา แต่โลกก็ยังหมุนและเราก็ไม่ตาย

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มหัศจรรย์แห่งชีวิต… หลักคิด 20 ข้อ



 ๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบ


วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

 

มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ ตาย หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ  

  

1.
ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ 

2.
ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว 

3.
ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท 
 

-
ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่) 

-
หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย 

-
จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ 

-
ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก 
เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน 

ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่ 
วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1. ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด 
หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ 
เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น 
เจ็ดวันรอบแรก 
วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา 
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย 
เจ็ดวันรอบที่ สอง 

เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น 
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย 
เจ็ดวันรอบที่ สาม 
เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว 
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด 
เจ็ดวันรอบที่ สี่ 
เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์ 
เจ็ดวันรอบที่ ห้า 
วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์ 
เจ็ดวันรอบที่ หก 
เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา 
เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด 
เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกินเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว. 
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ... 

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นิสัยของคนเจ้าชู้ !!??

คุณเคยสังเกตไหมค่ะว่า คนเจ้าชู้ไม่ว่าจะทำยังไงก็ยังคงเป็นยังนั้นอยู่ดี แม้จะเจอผู้หญิงที่ดีพร้อมรักเรา ดูแลเรา สวย น่ารัก รวย แม้จะมีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่างความเจ้าชู้ที่เขาเคยมีก็ไม่เคยน้อยลงหายไปเลย แต่บางคนกว่าจะคิดได้ก็ต่อเมื่ออยู่ตัวคนเดียว มันเป็นเพราะอะไรกันล่ะค่ะ หรือเ็ป็นเพราะว่าเขาไม่รู้จักพอสักที 





1.คนเจ้าชู้มักเป็นคนใจง่าย    
   
        เห็นใครหน้าตาดี หรือหุ่นเพอร์เฟกต์หน่อยไม่ได้ เป็นต้องถลาเข้าหา เผื่อฟลุกได้พูดคุยกับคนที่เค้าเหล่ด้วยยิ่งดี จะได้ชวนไปเที่ยวด้วยกันซะเลย   
   
    ทว่า อีกฝ่ายจะเล่นด้วยรื้อ เพราะสมัยนี้มีคนวิกลจริต และโรคจิตยั้วเยี้ยในสังคมเต็มไปหมด ฉะนั้นถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เห็นทีคนเจ้าชู้อาจเป็นแค่สุนัขแหงนมองเครื่องบินก็ได้ เพราะยังไม่ทันคุ้นเคยหรือรู้จักมักจี่กันสักกะติ๊ด แต่พี่แกเล่นจ้องเอ๊า จ้องเอา หรือปรี่เข้ามาหลีเลย ย่อมทำให้ฝ่ายถูกตื๊องงสิเพ่ และทันใดนั้นก็เริ่มคิดในใจว่า เอ๊ะควรคุยกับจอมหลีรายนี้ดีไหม? ถ้าขืนคุยด้วยเดี๋ยวเค้าไปตีความเข้าข้างตัวเองว่าเราชอบเค้าเหมือนกัน ก็ซวยสิ กระนั้นคนเจ้าชู้แบบกรุ้มกริ่มอยู่ในใจไม่เปิดเผยโจ่งแจ้งก็มีนะ รายนี้จะเอาแต่มองไว้ก่อน รอให้เหยื่อสบตากลับมาแล้วค่อยเข้าหา กะว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงาม อู้ย...แต่ใครจะกล้าตกหลุมเนี่ย นอกจากคนเจ้าชู้รายนี้มีหน้าตาดึงดูดชวนใกล้ชิดก็ว่าไปอย่าง   
   
       

2. คนเจ้าชู้ชอบทำให้คนอื่นเข้าใจว่า เค้าเป็นโสด             ทั้งที่อาจมีแฟนแล้วก็ได้ หรือถ้าเป็นโสดจริงๆ ก็จะแสดงออกในทำนองว่า พร้อมเสมอที่จะเป็นเพื่อนหรือกิ๊กก็ได้กับทุกๆคน ยกเว้น หากใครไม่ได้อยู่ในสเปกของคนเจ้าชู้ละก็ ไม่ อยากจี๋จ๋าด้วยหรอก เออแฮะช่างเลือกซะด้วย นะเอ็ง!   
   
         

3. คนเจ้าชู้ มักสารภาพว่า ชอบคนที่เค้าสนใจ        
    แต่อย่าหวังจะได้ยินคำว่า อยากอยู่ด้วยตลอดไปเลยน้องเอ๋ย   
   
    เพราะพวกไก่แจ้น่ะ ชอบง่าย หน่ายเร็ว ยิ่งถ้าเจอคนใหม่ๆก็ต้องไปเซ็กซ์เซอไซส์ เอ้ยโปรยเสน่ห์ต่ออีกแล้ว ทั้งที่บางคนก็ไม่รู้คิดได้ไงว่าตัวเองมีเสน่ห์... แปลกแท้ๆ ดังนั้น เรื่องไรเค้าจะผูกมัดด้วยการสัญญิงสัญญาล่ะ แต่หากคุณหลงคารมคนเจ้าชู้และรักเค้าตอบละก็   
   
    หยั่งงี้ไม่ถือว่า เค้าหลอกคุณนะ เพราะคุณโดนเค้าทำให้ตาบอดต่างหากล่ะ ไม่รู้ซะเลยรึว่า โลกของความรักหักเหลี่ยมโหดน่ะ ทำให้คนซื่อๆกลายเป็นคนเซ่อมาเยอะแล้ว ฉะนั้น เวลาจะเชื่อคำพูดของใครก็ควรศึกษากันและกันให้ดีซะก่อน จะปลอดภัยกว่า   

       

4. คนเจ้าชู้สามารถตีซี้กับทุกคนได้ง่าย        
    เพราะความเป็นปลาไหลใส่สเกตของเค้าไง   
   
    โอ้ย คนเจ้าชู้นี่นะ เป็นคนที่มั่วเก่งแถมยังหน้าด้านมากๆซะด้วย เพราะคุณพี่เล่นลอยหน้าลอยตาทำเป็นคุยกับใครต่อใครได้อย่างหน้าตาเฉย แถมยังเนียนหลายๆ ฟังแล้วเหมือนเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีเหลือเกิน ซึ่งอาจเป็นพรแสวงหรือพรสวรรค์ของเค้าจริงๆก็ได้   
   
    แต่ความพยายามตีซี้กับใครเค้าก่อนน่ะ หากได้รับความเอ็นดูก็ดีไป เกรงจะไปสร้างความรำคาญให้คนอื่นซะมากกว่า งั้นเอางี้ดิ หัดมีกาลเทศะเข้าไว้แล้วคงจีบได้อีกหลายรายแหงๆเลย   
              

5. คนเจ้าชู้มักเป็นขาประจำของงานปาร์ตี้         ไม่ว่าจะถูกชวนให้ไปร่วมงานนั้นด้วยหรือไม่ ก็ตาม เค้าก็สามารถเดินเข้าไปในงานได้อย่างไม่สะทก สะท้าน ขอเพียงงานนั้นมีคนที่เค้าสนใจก็พอ โอ้โห ได้มั่วเข้าไปกินฟรีแล้วยังได้หลีแขกในงานอีก ถือว่าได้กำไร 2 เด้งเชียวนะ แล้วจะโง่ไม่รีบฉวยโอกาสหยั่งงี้ไว้เรอะ   
   
     

6. ถ้าคนเจ้าชู้มีรถ         
เค้าจะรีบอาสาพาคนที่ชอบไปส่งถึงบ้านทันที   
    

หากได้รู้จักกับคนที่ชอบ แต่วันนั้น ว่าที่หวานใจ รายล่าสุดของเค้าต้องกลับบ้านที่พัทยาพอดี เชื่อดิเค้าจะเสนอตัวไปส่งให้ถึงหน้าบ้านเชียวล่ะ เพราะอยากเอาชนะใจไง ถึงได้ฮึดมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่อยากรู้จังแฮะ ว่าถ้าต้องไปเชียงใหม่ล่ะ พี่ท่านยังจะใจสู้อยู่อ่ะป่าว?   
      

7. คนเจ้าชู้เชื่อว่า สิ่งที่เค้าทำไปนั้นเป็นกำไรชีวิต ไม่ใช่ขาดทุนนะยะ        
    ไม่ถือว่ากำไรได้ไง ในเมื่อได้รู้จักกับผู้คนตั้งมากมาย แถมยังได้ “ปากว่า มือถึง” แตะอั๋งใครต่อใครฟรีๆ ซะด้วย เท่าเนี้ยเค้าก็เชื่อว่าไม่เสียชาติเกิดแล้วล่ะ   

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

10 เหตุผล ที่ผู้หญิงชอบเม้าท์

หากคุณผู้ชายสงสัยว่าทำไมสาว ๆ ชอบเม้าท์นัก เผลอไม่ได้ต้องนั่งจับกลุ่มเพื่อนสาวคุยกันได้เป็นนานสองนาน  วันนี้เรามีคำตอบให้คลายสงสัยกันแล้วค่ะ 



          - เม้าท์ สร้างความไว้ใจ ผู้หญิงมักต้องการใครสักคนที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง เมื่อเธอได้ระบายความในใจกับใครสักคน มันจะช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน ทำให้มีที่ปรึกษาดี ๆ เกิดขึ้นได้

          - เม้าท์ สร้างเพื่อน ด้วยความที่ยิ่งเม้าท์ยิ่งเข้าใจ ยิ่งคุยยิ่งถูกคอการจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่จึงไม่ใช่เรื่องยาก และทำให้มีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นด้วย

          - เม้าท์ ลดเครียด เวลาเม้าท์เรื่องคนนั้นทำผิด บางครั้งก็ช่วยทำให้รู้สึกดีได้ ว่าอย่างน้อยชีวิตของพวกเราก็เป็นไปในทางที่ดีกว่า มันอาจดูเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แต่มันคือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้รู้สึกดี

          - เม้าท์เพื่อ ไตร่ตรอง ผู้หญิงมักต้องการแบ่งปันประสบการณ์กับใครสักคน ดังนั้น เวลาที่ได้พูดคุย หรือได้ถ่ายทอดประสบการณ์ทำให้รู้สึกว่าได้ศึกษา และไตร่ตรองเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วย

          - เม้าท์ ช่วยแก้ปัญหา เมื่อคุณเจอเรื่องไม่สบายใจ แล้วไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร การได้เม้าท์กับเพื่อน และถามว่า "ถ้าเป็นเธอจะทำอย่างไร" จะช่วยสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจ และทำให้คุณจัดการกับปัญหานั้นได้

          - เม้าท์ สร้างวันดี ๆ ถ้าวันนี้คุณเจอใครบางคนทำให้รู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสีย อาจทำให้เป็นวันที่แย่ของคุณ การที่ได้เม้าท์จะช่วยให้สบายใจขึ้น และทำให้วันนั้นกลายเป็นวันที่สดใสขึ้นได้

          - เม้าท์ เพื่อเข้าสังคม บางครั้งการเมาท์อาจช่วยให้ได้แสดงออกถึงความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ได้เข้าสังคม รู้จักคนมากขึ้น และอาจเป็นหนทางพาไปสู่หน้าที่การงานที่ดีได้เชียวนะ

          - เม้าท์ ช่วยฝึกการสังเกต บางครั้งการเมาท์ก็สร้างประโยชน์ เพราะทำให้ผู้หญิงเราเป็นคนช่างสังเกต รู้ความเป็นมาเป็นไปของคนอื่น ๆ และทำให้รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้สังเกตคนอื่น

          - เม้าท์ สร้างสัมพันธ์ การได้พูดคุยกันจะทำให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจเรื่องผู้หญิง ๆ ด้วยกัน เป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดี ผิดกับผู้ชายที่มักจะมุ่งแต่เรื่องงานและความสำเร็จ ไม่ค่อยสนใจเรื่องการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเท่าไรนัก

          - เม้าท์ แล้วรู้สึกผิด การเมาท์คนอื่น บางครั้งอาจจะทำให้รู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่คงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ก็แหมมันหยุดไม่ได้จริง ๆ นี่คะ

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อคิด ข้อเตือนใจ เรื่องความรัก

 ถ้าพูดถึงเรื่องของความรักจริง ๆ แล้วความรักเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับใครง่าย ๆ แต่ความรักมักจะเดินมาหาเราเองโดยที่เราไม่ได้วิ่งตามค้นหามัน หากแต่เมื่อความรักเกิดขึ้นกับคนสองคนแล้ว ก็อย่าพยายามทำตัวเหมือนไม่ได้แคร์ไม่ได้สนใจ เพราะมันจะเป็นการปวดหัวใจตัวเองเปล่า สู้บอกกับคนที่เรารักว่า รักนะ จะดีกว่าไหม ก่อนที่ความรักที่เดินเข้ามาหาเรา จะเดินออกไปเสียก่อน



 1. การ รักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง

2. พระเจ้าอาจจะ ต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่..ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ท่าน ประทานมา

3. ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความ รู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว

4. สิ่ง ที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป

5. เมื่อประตู แห่งความสุขปิดลงประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้นแต่เราก็มัว แต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่เปิดไว้รอ

6. เพื่อน ที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไร กันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกัน อย่างประทับใจที่สุด

7. เป็นความจริงที่เรา ไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้า มาหาเรา

8. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสัก คนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเราเอง

9. มี สิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ

10. อย่า บอกลาถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจ

11. ความ รักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน

12. การ ที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต

13. อย่า มองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้

14. มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขา มาจากความฝันเพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น

15. ฝัน ถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไปในที่ที่คุณต้องการไป เป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ

16. ขอ ให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข

17. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวดจากสิ่งเดียวกันเช่นกัน

18. คำ พูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาละเทศะอาจลดความเครียด คำว่ารักอาจเยียวยาและทำให้มีสุข

19. จุด เริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่ามันเป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเรา ที่ปรากฎในพวกเขา

20. คนที่มีความสุขที่สุดไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก

21. ความ สุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่ พยายามแล้ว เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้จักคุณค่า-ของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิต

22. ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา

23. อนาคต ที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่แสนเจ็บปวด คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ

24. คุณ ร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ

25. ความรักก็เหมือนกับการเสี่ยง คุณอาจจะต้องพบกับความล้มเหลว แต่ถ้าคุณไม่เสี่ยง คุณก็อาจจะต้องพบกับความล้มเหลวตลอดไป

26. ความรัก มักเหมือนแก้วบาง ถ้าหากคุณมือหนัก แก้วที่คุณถือ ก็อาจจะต้องแตกร้าวทุกครั้งที่คุณใช้มัน

27. ความรัก ง่ายที่เราจะหามัน แต่ยากที่จะรักษาเอาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

10 ปัญหาคาใจเกี่ยวกับการนอน

เคยเป็นไหมที่นอนยังไงก็นอนไม่หลับ ดิ้นก็แล้ว เปลี่ยนท่านอนก็แล้ว เปิดทีวีดูก็แล้ว คุยโทรศัพท์ก็แล้ว อาบน้ำก็แล้ว แต่เคยสงสัยไหมค่ะว่าเหตุที่เรานอนไม่หลับมันเป็นเพราะอะไร บางคนอาจจะคิดมากเลยนอนไม่หลับ บางคนกินกาแฟ แต่เชื่อสิค่ะว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เหตุที่ทำให้เรานอนไม่หลับกัน

1. ทำไมการนอนจึงสำคัญ
การนอนทำให้กล้ามเนื้อและ อวัยวะทุกส่วนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมสำหรับการทำงานในวันต่อไป เมื่อนอนน้อยอาจส่งผลให้ทำงานผิดพลาด ทำงานได้น้อยลง คุณภาพงานต่ำกว่าปกติ และมีงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม. หรือนอนมากกว่า 10 ชม. ต่อคืน เป็นประจำ อาจมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติ คนที่นอนไม่เพียงพอนานๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดเมื่ออายุมากขึ้น และการนอนระหว่าง 21.00-22.00 น. จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะโกร๊ธ ฮอร์โมน ( growth homone) หลั่งออกมาอย่างเต็มที่ในช่วง 22.00-24.00 น. ช่วยซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย และควรนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน


2. นอนหลับท่าไหนดีที่สุด
การนอนมีความ สัมพันธ์กับกระดูกสันหลัง เพราะหากนอนผิดท่า เช่น นอนงอตัวหรือนอนบิดตัว ติดต่อกันหลายๆ ปี อาจทำให้กระดูกสันหลังเลื่อนออกนอกแนวระนาบ ผิดรูป หรือคดงอได้ ท่านอน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นอนหลับสนิท ตื่นนอนอย่างสดชื่นและไม่ปวดเมื่อย - นอนหงาย ควรใช้หมอนหนุนหัวแบบต่ำเพื่อให้ต้นคออยู่แนวเดียวกับลำตัว ป้องกันการปวดคอจากนอนคอพับหรือนอนเงยคอมากเกินไป แต่ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก หัวใจทำงานลำบากขึ้น การนอนหงาย ยังอาจทำให้ผู้มีอาการปวดหลังมีอาการรุนแรงขึ้นด้วย นอนตะแคง การนอนตะแคงขวาช่วยให้หัวใจทำงานสะดวก และอาหารที่ค้างในกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ช่วยลดอาการปวดหลังได้ทางหนึ่ง แต่การนอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เสียดลิ้นปี่ เพราะอาหารย่อยไม่หมดและค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร หญิงตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกไปกดทับกระดูกสันหลังและเส้นเลือด แดงใหญ่กลางลำตัว - นอนคว่ำหน้า อาจทำให้หายใจติดขัดและปวดต้นคอ เพราะคอแอ่นมาทางด้านหลังหรือบิดไปด้านใดด้านหนึ่งเป็นเวลานานๆ ถ้าต้องนอนคว่ำหน้าควรใช้หมอนรองใต้หน้าอกเพื่อไม่ให้ปวดเมื่อยต้นคอ


3 เลือกซื้อที่นอนอย่างไรดี
ที่นอนควรมีขนาด กลางๆ ไม่นิ่ม หรือแน่นเกินไป (แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างที่นอนนิ่ม กับที่นอนแน่น ควรเลือกที่นอนแน่น เพราะที่นอนนิ่มจะทำให้ปวดหลังได้มากกว่า) แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสรีระของแต่ละบุคคล ถ้าคุณลองนอนดูแล้วไม่เกิดอาการปวดหลังก็ถือว่าใช้ได้ และควรเลือกที่นอนที่ยาวกว่าความสูงของตัวเองอย่างน้อย 15 ซม. และพิจารณาสิ่งสำคัญต่อไปนี้ด้วย - ความแน่นของที่นอน (Firmmess) ขึ้นอยู่กับความชอบและรูปร่างของผู้นอน เช่น คนที่รูปร่างใหญ่ จะเหมาะกับที่นอนแน่นเป็นพิเศษ - ชั้นโอบรับ (Conformity) คือมีส่วนที่สัมผัสและโอบรับกับร่างกายอย่างเหมาะสม เข้ากับส่วนโค้งเว้าได้ดี จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและนอนหลับสบายขึ้น - ความแข็งของที่นอน (Edge Support) คือ ความสามารถในการรับน้ำหนัก โดยเฉพาะช่วงขอบของที่นอน ป้องกันการยุบตัว และไม่เกิดการลื่นไหลเวลานั่งขณะขึ้นหรือลงจากที่นอน เมื่อใช้ที่นอนนานเกิน 6 เดือน ควรกลับที่นอนอีกด้านหนึ่งขึ้นมาใช้ เพื่อไม่ให้ที่นอนถูกใช้งานเพียงด้านเดียว เพราะทำให้ที่นอนเสื่อมสภาพเร็ว และควรกลับด้านหัวนอนและปลายเท้าสลับกันด้วย เพื่อใช้งานอย่างทั่วถึงทั้งสี่ด้าน


4. หมอนแบบไหนดีที่สุด
การหนุนหมอนที่ไม่มี คุณภาพนานๆ อาจทำให้กระดูกต้นคอ กดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หรือเกิดเป็นลิ่มเลือดอุดตัน หากลิ่มเลือดขึ้นสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้ คุณจึงควรสังเกตอยู่เสมอว่ามีอาการปวดช่วงต้นคอหลังจากตื่นนอนด้วยหรือไม่ หมอนที่ดีควรนอนแล้วรับกับกระดูกต้นคอได้พอดี เสมอเป็นระนาบเดียวกับลำตัว นอนแล้วคอไม่แหงนหรือพับ วัสดุที่ใช้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน - ใยสังเคราะห์ มีทั้งแบบนุ่มฟูและแน่นขึ้นอยู่กับความชอบ ข้อดีคือมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามรูปศีรษะ คืนรูปและระบายอากาศได้ดี ข้อจำกัด คือ เสื่อมสภาพเร็ว อายุใช้งานไม่คงทน - โฟมลาเทกซ์ แข็งและแน่นมากกว่าหมอนประเภทอื่นๆ ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งานนาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี หากเลือกขนาดไม่เหมาะกับศีรษะอาจนอนแล้วปวดคอได้ - ยางพารา มีทั้งแบบแข็งและแบบนิ่ม ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งานนาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี - ขนเป็ด มีความนุ่มฟูเป็นพิเศษ เหมาะกับผู้ที่ชอบหมอนนุ่มมากๆ มีข้อจำกัด เรื่องการทำความสะอาด (ซักไม่ได้) และราคาค่อนข้างสูง - นุ่น เป็นวัสดุที่ดีในการทำเครื่องนอน เพราะสามารถปรับให้รับกับสรีระของผู้นอนได้ และราคาไม่แพง แต่มีข้อจำกัด คือ การทำความสะอาดยากและอาจมีเศษนุ่นหลุดเป็นละออง ออกมาจึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้

5. เราจำเป็นต้องมีหมอนหนุนของตนเองหรือเปล่า
ควร เพราะสรีระแต่ละคนแตกต่างกัน ขนาดของหมอนที่เหมาะกับแต่ละคนจึงต่างกันไปด้วย การเลือกหมอนต้องดูความเหมาะสมกับร่างกาย เช่น ผู้ที่รูปร่างใหญ่ หรือนอนกรน ควรใช้หมอนที่สูง เพื่อให้คออยู่ระนาบเดียวกับลำตัวพอดี ทำให้รู้สึกไม่อึดอัด และลดการนอนกรน หากเป็นคนตัวเล็กอาจหนุนหมอนต่ำลงมาหน่อยเพื่อรักษาแนวระนาบของลำตัว สำหรับรูปทรงของหมอนขึ้นอยู่กับท่านอนของแต่ละคน ควรเลือกหมอนที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และมีส่วนกว้างออกมาถึงช่วงไหล่ เวลาพลิกตัวจะได้ไม่ตกหมอน หมอนที่มีส่วนเว้าโค้ง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกับต้นคอ จะเหมาะกับท่านอนหงาย หากนำมาใช้นอนตะแคงอาจปวดต้นคอ และลองนอนหนุนหมอนทุกครั้งก่อนซื้อ เพื่อทดสอบความพอดีกับต้นคอ ความสูง ความนิ่ม ว่าเหมาะสมกับตัวเองมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ยังมีหมอนเพื่อรองรับการใช้งานรูปแบบอื่นๆ เช่น หมอนรองเอว หมอนรองขา หมอนรองคอ หมอนข้าง ผู้ที่มีปัญหาเวลานอนแล้วปวดขา ปวดเอว อาจซื้อหมอนประเภทนี้มารองเพื่อให้รู้สึกนอนสบายยิ่งขึ้นก็ได้


 6. หมอนสุขภาพจำเป็นไหม
หมอนสุขภาพมีการผลิต จากวัสดุหลายประเภท เช่น โฟมลาเทกซ์ หรือยางพารา ฯลฯ ซึ่งอาจผลิตให้โค้งเว้าเพื่อรองรับกระดูกต้นคอให้ได้ระนาบเวลานอนมากขึ้น ซึ่งมีข้อดีคือรองรับต้นคอได้พอดีเมื่อนอนหงาย แต่อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบนอนตะแคงเพราะจะคอเอียงและปวดคอได้ ส่วนหมอนที่ผลิตจากเปลือกไม้หรือเปลือกเมล็ดพืช เป็นหมอนที่ผลิตเพื่อรองรับและให้เข้ารูปกับศีรษะและต้นคอของผู้นอนแต่ละคน ซึ่งหลายคนที่เคยทดลองใช้ให้ความเห็นว่านอนหลับสบายขึ้น แต่มีข้อจำกัดคือราคาแพง และต้องผึ่งแดดบ่อยๆ เพื่อป้องกันความชื้นและแมลง


7. จะรู้ได้อย่างไรว่าควรเปลี่ยนเครื่องนอนชุดใหม่แล้ว
อายุ ของที่นอน/หมอนไม่ควรเกิน 15 ปี ถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องสังเกตว่าคุณปวดหลัง ปวดตัว ทุกครั้งที่ตื่นนอน หรือที่นอนยุบลงไปเป็นแอ่งหรือเปล่า ทั้งที่คุณกลับด้านหน้า ด้านหลังมาใช้แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณควรเปลี่ยนที่นอนหลังใหม่ เช่นเดียวกับหมอน ถ้านอนแล้วไม่รู้สึกสบายรู้สึกปวดคอ ก็ควรเปลี่ยนได้แล้วค่ะ


 8. การนอนกับพื้นดีกว่านอนบนที่นอนจริงไหม
การ นอนกับพื้นแข็งมากๆ ทำให้เกิดการกดทับเป็นเวลานาน ระบบเลือดไหลเวียนลำบาก ทำให้เมื่อย และอาจเกิดอาการชาได้ การนอนพื้นจึงควรปูที่นอนบุนวมนิดหน่อย เพื่อกระจายแรงกดทับของหลังกับพื้นโดยตรง แต่ทั้งนี้การนอนพื้นก็ไม่มีผลกระทบร้ายแรงแต่อย่างใด ถ้าคุณนอนแล้วไม่เกิดอาการปวด หรือเมื่อยหลังก็สามารถนอนได้ค่ะ


 9. เครื่องนอนเคลือบสารป้องกันไรฝุ่นเชื่อได้แค่ไหน
ไร ฝุ่น (dust mite) เป็นสัตว์ประเภท "แมง" กินเศษผิวหนังและรังแคเป็นอาหาร ไรฝุ่นจึงพบมากที่สุดในห้องนอน และเครื่องนอนต่างๆ 10% ของน้ำหนักหมอนที่เราใช้นาน 2 ปีขึ้นไป มาจากตัวไรฝุ่นและอึของมัน เช่นเดียวกับที่นอนที่ใช้นาน 6 เดือนก็อาจมีไรฝุ่นมากพอที่ทำให้คนเป็นภูมิแพ้เกิดอาการได้ ที่นอน ที่ทำจากใยสังเคราะห์ ฟองน้ำ ใยมะพร้าว หรือยางพารา เมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็เกิดไรฝุ่นได้ ที่นอนที่ไม่มีไรฝุ่น คือ ที่นอนน้ำ (water bed) ส่วนหมอน ควรเลี่ยงชนิดที่ทำจากขนสัตว์ ฟองน้ำ นุ่น แต่ถ้าต้องการใช้ควรหุ้มด้วยผ้ากันไรฝุ่นอีกชั้นก่อนใส่ปลอกหมอนธรรมดา เครื่องนอนเคลือบสารกันไรฝุ่นอาจช่วยป้องกันคุณให้ปลอดภัยจากไรฝุ่นได้ใน ระดับหนึ่ง สังเกตได้จากคำว่า Microban Allergy Control หรือ Scot guard ควรเลือกปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น ที่ทำจากผ้าเนื้อแน่น ทอละเอียด ปูทับก่อนปูผ้า หรือปลอกหมอนธรรมดา หากเป็นผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ควรซักผ้าด้วยน้ำอุ่น เพื่อฆ่าไรฝุ่นด้วย แต่ถ้าไม่ได้ใช้ผ้าปูที่นอน หรือปลอกหมอนกันไรฝุ่น ควรทำความสะอาดที่นอนเป็นประจำทุกเดือน ซักผ้าด้วยน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส ทุก 1-2 สัปดาห์


10. เราควรเลือกปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอย่างไร
ผ้า ปูที่นอนและปลอกหมอนเป็นส่วนที่สัมผัสกับร่างกายโดยตรง เนื้อผ้าที่ใช้ควรเป็นผ้านิ่ม เพราะผ้าที่แข็งเกินไปอาจทำให้เกิดรอยยับ หากรอยยับนั้นมากดบนผิวหน้าหรือร่างกายบ่อยครั้งอาจเกิดปัญหาตามมาได้ การเลือกจึงควรเลือกผ้าที่จับแล้วสบายมือพอสมควร ไม่หลุดเป็นขุย เนื้อผ้าที่นิยมใช้ทำเครื่องนอนได้แก่ ผ้า Cotton หรือผ้าฝ้าย ควรเลือกที่เป็น cotton 100% เพราะเนื้อผ้าจะนิ่ม ไม่ระคายผิว ผ้า Cotton satin เป็นผ้าที่ผสมระหว่างผ้าฝ้ายและผ้าไหม เนื้อผ้าจึงนิ่มและลื่นกว่าผ้า Cotton ซึ่งราคาก็สูงกว่าตามไปด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การชนะใจตัวเอง


 การเอาชนะใจตัวเองไม่ได้หมายความว่าจะต้องชนะใจผู้อื่นหรือตัวเองทุกเมื่อ แต่การชนะใจตัวเองคือไม่ยอมให้ความอ่อนแอมาทำลายเรา ยอมแพ้กับบางเรื่องและยอมชนะกับบางปัญหา นั่นคือ การชนะใจตัวเอง

 ในแต่ละวันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเอา ชนะใจตนเองอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเรื่องง่าย ๆ ตั้งแต่การสลัดผ้าห่มนุ่มๆ ออกจากตัวแล้วตื่นขึ้นมาทำงานแต่เช้า การพยายามไม่กินอาหารหวาน ๆ มัน ๆ ที่อร่อยนักอร่อยหนา ไปจนถึงเรื่องยาก ๆ อย่างการทำงานให้เสร็จตามที่ตั้งใจไว้ หรือการพยายามไปออกกำลังกายให้ได้ทุกวัน

ขึ้นชื่อว่าเป็น การเอาชนะใจตนเองแล้ว ย่อมต้องอาศัยพลังใจที่เข้มแข็งและความเสมอต้นเสมอปลายเป็นคู่ต่อสู้ เพื่อไม่ให้เกิดการเริ่มต้นด้วยการตั้งใจเกินร้อย แต่กลับตกม้าตายในตอนท้าย

ปัญหาใหญ่ก็คือ แล้วเราจะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถเอาชนะใจตนเองได้ตลอดรอดฝั่ง และนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

   การเอาชนะใจตนเองต้องฝึกตั้งแต่เด็ก

วอ ลเทอร์ มิสเชล นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในมหานครนิวยอร์ก บอกว่า เขาสามารถคาดเอาอนาคตของเด็กได้โดยอาศัยเพียงขนมมาร์ชแมลโลว์หนึ่งถุง

ความ สามารถในการหยั่งรู้ของมิสเชลไม่ได้เกิดจากอำนาจเวทมนต์ แต่เกิดจากการทดสอบพฤติกรรมของเด็กวัย ๔ ขวบ พบว่า เด็กคนใดก็ตามที่สามารถหักห้ามใจตัวเองและไม่แอบกินขนมมาร์ชแมลโลว์ที่เขา ทิ้งไว้กับเด็กตามลำพัง มักจะเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยคะแนนที่สูงกว่า และก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถทำงานที่มีรายได้ดีกว่า รวมทั้งชีวิตแต่งงานที่ประสบความสำเร็จ และมีสุขภาพดีมากกว่าเด็กที่แอบกินขนม

เพื่อยืนยันความคิดนี้ เขายังได้ทำการทดลองที่ยาวนานที่สุดในเรื่องการเอาชนะใจตนเอง โดยทำการทดสอบเพื่อวัดความตั้งใจของเด็กๆ วัยก่อนประถมศึกษาจำนวน ๖๕๐ คน แล้วติดตามดูความเป็นไปใช้ชีวิตของเด็ก ๆ เหล่านั้นเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่

ผลการทดลองแสดงให้เห็น อย่างชัดเจนว่า เด็กคนใดก็ตามที่มีความตั้งใจแน่วแน่กว่าคนอื่นตั้งแต่เล็ก ๆ เมื่อโตขึ้นก็จะมีความสามารถมากกว่าคนอื่นในการเอาชนะใจตนเอง ไม่ว่าจะกับเรื่องเล็ก ๆ อย่างการควบคุมอาหาร การดูสุขภาพ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ๆ อย่างการเลิกสูบบุหรี่หรือการรู้จักใช้ชีวิตอย่างสมดุล นอกจากนั้นพวกเขายังมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนกว่าและมีความสุขในชีวิตมากกว่า เด็ก ๆ กลุ่มที่มีความตั้งใจต่ำอีกด้วย

  ผู้หญิงเอาชนะใจตนเองได้ดีกว่าผู้ชาย
นอกจากปัจจัยที่กล่าวแล้ว ความสามารถในการเอาชนะใจยังขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเพศด้วย โดยทั่วไปเรามักกล่าวกันว่า ผู้ชายมักจะมีความสามารถในการเอาชนะใจตนเองน้อยกว่าผู้หญิง แต่หารู้ไม่ว่
แท้ที่จริงแล้วในทางชีววิทยา ความแตกต่างนี้จะมีผลก็เพียงในช่วง ๔ ปีแรกของชีวิตเท่านั้น แต่เหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าผู้หญิงมีความสามารถในการเอาชนะใจตนเอง ได้มากกว่าผู้ชายนั้น น่าจะมาจากปัจจัยทางสังคมที่มักจะเรียกร้องให้ผู้หญิงมีความอดทนอดกลั้นต่อ สิ่งรอบข้างมากกว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสฝึกฝนความอดทนในการเอาชนะใจตัวเองมากกว่าผู้ชาย ด้วย เหตุนี้จึงไม่แปลกที่ฝ่ายชายมักจะเป็นเพศที่มีปัญหาสุขภาพอันเกี่ยวกับการ ควบคุมตัวเองมากกว่า อาทิ การควบคุมอารมณ์โกรธ การมีพฤติกรรมก้าวร้าวและต่อต้านสังคม การใช้สารเสพติด และการเป็นโรคสมาธิสั้น ซึ่งมักจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ๒-๓ เท่า

การเอาชนะใจตนเองคือการมี ศีลอันประเสริฐ
ในทางพุทธศาสนา ท่านปัญญานันทภิกขุ แห่งวัดชลประทานรังสฤษฎ์ ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับการเอาชนะใจตนเองไว้ดังนี้

การ ควบคุมตัวเองนั้นมันหนักเหนื่อยในชั้นต้น ความจริงสบายปลายมือ แต่ว่าคนเราขาดความอดทน จึงไม่สามารถจะควบคุมตัวเองไว้ได้ เรามีแต่เรื่องการตามใจตัวเอง การปล่อยไปตามอารมณ์ ปล่อยไปตามอำนาจของสิ่งแวดล้อม แต่ไม่เคยกำราบปราบปรามตัวเอง จึงยากแก่การที่จะควบคุมตัวเอง
แต่ถ้าหากเราคุมบ่อย ๆ ประพฤติจนเป็นนิสัย สิ่งใดที่ทำจนเป็นปกติ มันก็เป็นศีลสำหรับบุคคลนั้น เพราะศีลนั้นเขาแปลว่า ปกติก็ได้ เช่นว่าเราตื่นเช้าเป็นปกติ ก็เรียกว่ามีศีลของคนตื่นเช้า เราทำอะไรๆเป็นปกติก็เรียกว่ามีศีลในรูปนั้น

คน เราบังคับตัวเองได้มากเท่าใด ยิ่งเป็นผู้ประเสริฐมากเท่านั้น คนที่ประเสริฐคือคนที่บังคับตัวเองได้ ถ้าบังคับตัวเองไม่ได้ก็มีประเสริฐอะไร ความใหญ่ของคนมันอยู่ที่การบังคับตัวเอง ถ้าไม่รู้จักบังคับตัวเอง เขาตั้งให้ใหญ่เท่าใด มันก็ใหญ่ไม่ได้เรื่องนั่นแหละ สำคัญมันอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องฝึกบังคับตัวเองไว้ เหนี่ยวรั้งไว้
 วิธีสร้างพลังใจในการเอาชนะใจตนเอง

แม้ จะรู้ว่าการเอาชนะใจตนเองได้เป็นเรื่องดี แต่หากคุณยังไม่รู้จักเทคนิคหรือวิธีการใดที่จะช่วยให้คุณเอาชนะใจตนเองได้ ง่ายขึ้น ลองฟังคำแนะนำของนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ดังนี้

= รักษาพลังใจของตนเองไว้ ให้คิดว่าพลังใจในตัวเราเป็นทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ต้องงัดเอามาใช้กับเรื่องสำคัญๆ เท่านั้น

= วางแผน ให้ชัดเจนในเรื่องที่เราอยากทำให้สำเร็จ โดยลงรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร ทำเมื่อไร และที่ไหน

= ฟื้นฟูพลังใจ ยามที่กำลังใจเริ่มอ่อนล้าให้หาตัวช่วย เช่น กินขนมเติมพลังยามขับเคี่ยวกับการทำงานให้เสร็จทันเวลา หรือหาเพื่อนดีๆสักคนไว้คอยให้กำลังใจยามท้อแท้

= ฝึกใจให้แกร่ง นักกีฬายังต้องฝึกความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ การสร้างพลังใจก็ต้องอาศัยการฝึกอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน

 ทำให้เป็นนิสัย ทำจนรู้สึกไม่ต้องบังคับ แล้วความสำเร็จจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

  สร้างความหมายพิเศษ แทนที่จะมองว่าการเอาชนะใจตนเองเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ลองตั้งเป้าให้การเอาชนะใจตนเองเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเป็นพิเศษ ด้วยการนับข้อดีว่าเมื่อทำแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่อะไรตามมา บ้าง

คิดบวก มองไปที่เป้าหมายด้วยความคิดเชิงบวก เช่น คิดว่า เราต้องชนะแทนที่จะคิดเกรงกลัวต่อความพ่ายแพ้ที่ยังมาไม่ถึง

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า การเอาชนะใจตนเองเป็นความสำเร็จแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และจะกลายเป็นฐานนำไปสู่ความสำเร็จอื่น ๆ ในชีวิตของคุณอีกมากมาย หากคุณเอาชนะใจตนเองได้แล้ว ไม่ว่าเรื่องไหน ๆ คุณก็ย่อมทำให้สำเร็จได้ทั้งนั้น

ขอ ให้เรามาเริ่มสร้างความสำเร็จให้ชีวิตตั้งแต่วันนี้ ด้วยการเอาชนะใจตนเองในเรื่องเล็กๆ แล้วค่อยขยับไปสู่เรื่องที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ กันเถอะค่ะ