วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จริงใจ..สบายจริง



คงเป็นเรื่องน่าเศร้า
หากคนเราต้องบิดเบือนความจริงในใจ
แล้วใส่หน้ากากเข้าหากัน

เราคงมีชีวิตอยู่กับความสุขปลอมๆ
ท่ามกลางความกลัวที่จะผิดหวัง
ทั้งที่ในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

ถอกหน้ากากออกดีไหม
จะเป็นไรไป หากใครจะอ่านสายตาของเราได้
หรือแม้แต่จะมองทะลุถึงใจของเรา

เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่เราไม่ต้องปิดบัง อำพราง
ไม่ต้องไว้ท่าไว้ทางหรือมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ
เมื่อนั่นใจของเราย่อมมีพลังอย่างเต็มที่
ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้บังเกิดขึ้น

ซึ่งต่างค้นพบพลังแห่งความจริงใจ
เป็นพลังที่เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ
แต่มีอานุภาพเหลือประมาณ

ฉะนั้น..
อย่ากลัวเลย..ที่จะเป็นคนจริงใจ
เป็นคนซื่อๆ ใสๆ
ปากกับใจตรงกัน
ถึงแม้เราไม่เก่ง ไม่ดีเด่น
ไม่ได้เป็นคนสำคัญ
ขอเพียงเรามีความจริงใจต่อกัน
แค่นี้ก็สุขสบายใจ..

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

8 วิธีถนอมรักให้ยืนยาว

“กว่าที่คน 2 คน จะรักกันได้ก็ยากพออยู่แล้ว แต่การถนอมความรักที่มีต่อกันให้ยั่งยืนยาวนานนั้น ยากยิ่งกว่า”




          ใครก็ไม่รู้พูดถึงการครองรักนี้ไว้ตรงใจดีเหลือเกิน เคยลองถามคนอื่นๆ ดูถึงเรื่องนี้ ก็มีเสียงยืนยันสนับสนุนท่วมท้นจากผู้มีประสบการณ์ว่า จริงของเขาค่ะ งานนี้ชัวร์ไม่มีมั่วนิ่ม…ได้ยินอย่างนี้แล้วบรรดาคนโสดทั้งหลายก็อย่าเพิ่ง ขยาด กลัวความรักกันไปเสียหมดนะคะ ใจเย็นๆ ก่อน เพราะถึงการรักษาความรักไม่ให้จืดจางนั้นจะยาก ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียเลยซะทีไหน
ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากให้ชีวิตคู่ของคุณอบอวลไปด้วยความรัก ความสุข คุณและเขาคนนั้นก็ไม่ควรขาดเรื่องสำคัญต่อไปนี้…
1. ซื่อสัตย์ต่อกัน
          เรื่องของความซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อกันนั้น นับเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในครอบครัว เพราะสิ่งนี้หมายรวมไปถึง การให้เกียรติ ความไว้ใจ เชื่อถือศรัทธาระหว่างคนในบ้าน การโกหกหลอกลวงและไม่ซื่อตรงต่อกันนั้น เป็นต้นเหตุให้ครอบครัวมากมายต้องแตกสลายมาแล้ว ดังนั้นถ้าไม่อยากต้องมานั่งกลุ้มใจในภายหลังก็อย่ารินอกใจกันกันเด็ดขาด
2. เปิดเผย จริงใจ
          ความปรารถนาดีอย่างจริงใจ เป็นสิ่งที่คนรักกันควรมอบให้โดยไม่ต้องร้องขอ ความกล้าที่จะติเตียน ชี้แนะถึงข้อผิดพลาด และบกพร่องในทุกๆ เรื่อง และต่างพร้อมรับฟังเพื่อช่วยกันแก้ไขข้อบกพร่อง จะทำให้รักของคุณไม่มีวันจืดจางอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจงอย่ากลัวที่จะพูดความจริงกับคนที่คุณรัก
3. หนักแน่น ไม่ใช้อารมณ์
          แม้ว่าจะรักกันเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว เป็นธรรมดาที่จะต้องมีเรื่องกระทบกระทั่ง โต้เถียงทะเลาะกันบ้าง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เพียงแต่ต้องไม่ลืมตัว ระบายความรู้สึกออกมาด้วยการใช้อารมณ์โกรธเกรี้ยว ดุด่าทำร้ายกัน ในการแก้ปัญหา แม้ว่าจะไม่พอใจขนาดไหนก็ควรตั้งสติ ข่มใจให้สงบเพื่อหาทนทางแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะคลี่คลายไปในที่สุด
4. ร่วมทุกข์ร่วมสุข
          ในยามที่เกิดปัญหาขึ้นหรืออุปสรรคในครอบครัว ต้องร่วมมือร่วมใจและอดทนที่จะฝันฝ่าต่อความยากลำบากไปด้วยกัน เป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกข้อที่ไม่ควรมองข้ามไป การปลุกปลอบคอยเป็นกำลังใจต่อกันในยามยาก ย่อมจะทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจจนเกิดเป็นความเป็นความผูกพันที่จะทำให้ ความรักที่มีต่อกันแน่นแฟ้นเพิ่มมากขึ้น
5. มีน้ำใจช่วยเหลือกัน
          การแสดงน้ำใจด้วยการช่วยเหลือคนในครอบครัว หรือคู่ชีวิตของคุณ โดยไม่ดูดายทอดธุระให้เป็นหน้าที่ของใครเพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่จะทำให้ความรักในหัวใจระหว่างกันไม่เหือดแห้งหายไป
6. ให้อภัยเมื่อทำผิด
          สุภาษิตเขายังบอกว่า “สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” แล้วจะประสาอะไรกับคนธรรมดาๆ อย่างตัวคุณเองหรือคนที่คุณรัก ที่คงจะต้องมีเรื่องผิดพลาดในชีวิตขึ้นบ้าง จงให้อภัยและให้โอกาสเขาแก้ตัวใหม่อีกครั้ง
7. ไม่ริดรอนความเป็นส่วนตัว
          ถึงแม้ว่าจะรักกันปานใด แต่มนุษย์ทุกคนยังคนรักอิสระ และต้องการเก็บความเป็นส่วนตัว (แม้จะเหลืออยู่ไม่มากนัก) เพราะฉะนั้นต้องเคารพในความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย ไม่ก้าวก่าย วุ่นวาย และให้อิสระในการใช้ชีวิตต่อกันบ้าง หมดสมัยแล้วกับการที่จะต้องฝืนใจทำสิ่งที่ไม่ชอบเพื่อเอาใจกัน ถ้าทำได้อย่างนี้ชีวิตคู่ของคุณก็จะแฮปปี้ ไม่มีปัญหา
8. บอกรักกันบ้าง

          แม้จะไม่บอกด้วยคำพูดตรงๆ แต่การกระทำที่แสดงออกถึงความรักตามสไตล์หรือแบบฉบับของคุณเอง ที่จะสื่อสารให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึกรักที่คุณมีให้ จะเป็นน้ำจิ้มรสเด็ดที่จะช่วยให้ชีวิตรักของคุณทั้งสองมีสีสันมากขึ้น ความโรแมนติก สวีทหวานแหววนานๆ เอามาใช้ให้ชุ่มฉ่ำหัวใจเสียบ้าง ก็ไม่เสียหายหรอกนะคะ
          เป็นอย่างไรบ้างคะ วิธีถนอมรักที่เอามาฝากกันในครั้งนี้ หวังว่าอ่านแล้วคงไม่ลืมเอาไปใช้กันบ้างนะคะ

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลมหายใจกับคนพิเศษ

การที่เรามองข้ามคนที่พิเศษที่สุดของเราไป ก็เท่ากับว่าเราดูถูกเค้า และกว่าที่เราจะรู้ตัวว่าเราได้ทำร้ายจิตใจของคนๆ นั้นบางที คนพิเศษสุดคนนั้นของคุณ เค้าก็อาจจะจากคุณไปไกลแสนไกล




อยากจะขอถาม ทุกคนที่อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ว่า คุณจำได้ไม๊ ว่าเมื่อปีที่แล้วทั้งปี คุณหายใจเข้าและออกกี่รอบ?จำได้หรือป่าว? งั้นจะขอถามใหม่ คุณจำได้ไม๊ เมื่อเดือนที่แล้วทั้งเดือน คุณหายใจเข้าและออกกี่รอบ? จำได้หรือป่าว?คงจะจำไม่ได้ซินะ งั้นจะขอถามใหม่อีกครั้ง คุณจำได้ไม๊ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณหายใจเข้าออกทั้งหมด กี่รอบ?ผมว่าคุณก็คงจะจำไม่ได้เหมือนเดิม คำถามต่อไป ก็คงจะเหมือนเดิม เมื่อวานนี้ คุณหายใจเข้าออกกี่รอบ?ผมจะไม่รอฟังคำตอบ และจะไม่ถามคำถามต่อไป เพราะถึงถามต่อ คำตอบก็คงจะเป็นเช่นเดิม คือ "จำไม่ได้"

แปลกนะ ทั้งที่ลมหายใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ แต่กลับไม่มีใครจำได้เลยแม้แต่คนเดียวว่าเคยหายใจไปแล้วกี่ครั้ง

...เพราะอะไร???...

ผม ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยเห็นความสำคัญของมันเลยเราไม่เคยต้องยากลำบากเลย ที่จะได้หายใจเข้าและออกเราไม่เคยต้องกระเสือกกระสนที่จะได้หายใจในแต่ละ ครั้ง

...แต่ถ้าเป็นวินาทีสุดท้ายในชีวิตของคุณล่ะ???...

คุณ หรืออาจจะเป็นญาติมิตรของคุณ อาจจะอ้อนวอนขอกับพระเจ้า ขอให้ท่านประทานลมหายใจอีกซักครั้งให้กับคุณเพื่อจะยืดเวลาให้กับคุณแม้ วินาทีเดียว วินาทีที่มีค่ายิ่ง ทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวคุณ จะเฝ้าภาวนาขออย่าให้การหายใจในแต่ละครั้งเป็นครั้งสุดท้ายของคุณเลย

มัน เป็นสิ่งมีค่าและมีความหมายที่สุด ที่ถูกมองข้ามไป และเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่มันเดินจากคุณไป มันอาจจะหันหลังกลับมามองคุณแล้วยิ้มที่มุมปาก หัวเราะ และสมน้ำหน้า แล้วมันจะบอกว่า "ที่นี้รู้หรือยัง ว่าฉันสำคัญต่อนายมากเพียงใด ทุกครั้งที่นายหายใจ นายทำเหมือนกับว่า ฉันเป็นเพียงแค่ทาสผู้รับใช้เมื่อวันนี้มาถึง ฉันก็ทำได้แค่ หัวเราะ ในความโง่เขลาของนาย"

ทุกคนก็คงจะมีคนที่พิเศษที่สุดในชีวิต คนที่สำคัญไม่แพ้ลมหายใจ หรืออาจจะสำคัญน้อยกว่า ในบางคน แค่ขอให้รู้ไว้เมื่อวันสุดท้ายมาถึง วันที่คนๆ นั้น ต้องจากคุณไป คุณจะไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ อย่างน้อยๆ ก่อนที่เวลานั้นมาถึง

...อยากจะให้คุณดูแลคนๆ นั้นให้ดี..
...บางสิ่งที่หายไป อาจได้คืนมาราวปาฏิหารย์...
...แต่ถ้าหากคุณทิ้งขว้างไป โอกาสจะได้คืนมาคงยาก...

ไม่แน่นะ...คนที่พิเศษสุดคนนั้นของคุณ...เค้าอาจจจะมีคุณเป็นคนที่พิเศษที่สุดก็ได้นะ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รู้เรื่อง…การคุมกำเนิด

การคุมกำเนิดมีวิธีการอยู่หลายวิธีที่สามารถใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด สมัยนี้ผู้หญิงยุคใหม่สามารถจะวางแผนชีวิตได้อย่างใจ เพราะมีวิธีการป้องกันตัวเองให้เลือกเยอะแยะไปหมด แล้วแต่ละแบบ มีข้อดีข้อเสียนั้น วันนี้กระปุกเวดดิ้งมีข้อมูลดีๆ มาบอกกันค่ะ
ถุงยาง


          ถุงยางคือปลอกยางเนื้อบางที่สามารถม้วนออกเพื่อครอบองคชาตขณะแข็งตัว ควรสวมถุงยางตลอดช่วงเวลาการร่วมเพศ ความน่าเชื่อถือของถุงยางจะมีมากขึ้น หากใช้ร่วมกับโฟมหรือครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางยังสามารถใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ ถุงยางมีจำหน่ายทั่วไป ทั้งในร้านอาหาร ร้านขายยา ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ถุงยางมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้ได้ถูกต้อง

ถุงยางอนามัยสตรี
          ถุงยางอนามัยสตรีคือปลอกยางที่มีความยืดหยุ่นสำหรับสอดเข้าในช่องคลอดของ ผู้หญิงเพื่อปกปิดปากมดลูก ถุงยางอนามัยสตรีมีจำหน่ายในขนาดต่าง ๆ โดยแพทย์จะต้องเป็นผู้สวมใส่ให้ ควรใช้ถุงยางอนามัยสตรีร่วมกับครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางอนามัยสตรีสามารถสวมใส่ในตอนใดก็ได้ก่อนการร่วมเพศและควรสวมทิ้งไว้ เป็นเวลาอย่างน้อยหกชั่วโมงหลังการใส่ ผู้หญิงส่วนใหญ่สามารถใส่ถุงยางอนามัยสตรีได้ ถุงยางอนามัยสตรีและครีมฆ่าเชื้ออสุจิเป็นวิธีการในการคุมกำเนิดที่เชื่อถือ ได้หากสวมใส่ลงในช่องคลอดอย่างถูกต้อง
ยาฆ่าอสุจิ
          ยาฆ่าอสุจิใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยสตรี ทั้งนี้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับการคุมกำเนิดหากใช้เพียงอย่างเดียว ผลิตภัณฑ์นี้ทำขึ้นเป็นครีม โฟม เยลลี่หรือยาสอด ยาฆ่าเชื้ออสุจิสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ยาคุมกำเนิดที่ไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
          ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจนมีอยู่เพียงประเภทเดียวในตลาดนอร์เวย์ ยาเม็ดนี้ป้องกันการตกไข่ของผู้หญิง(เมื่อมีการผลิตไข่) เพื่อให้ยาเกิดประสิทธิภาพ จะต้องใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ยานี้ยังสามารถใช้กับหญิงให้นมบุตรได้ ยาตัวนี้มีความเชื่อถือได้ 100% หากใช้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อหาซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่มีเอสโตรเจน

ยาเม็ดคุมกำเนิด
          ©Stephen Meddle/Rex Features/All Over Press ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติมีจำหน่ายในท้องตลาดมากว่า 30 ปี โดยประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์สองประเภท ได้แก่ เอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ฮอร์โมนทั้งสองชนิดเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ผลิตเลียนแบบฮอร์โมนจากรังไข่ ยาเม็ดคุมกำเนิดแต่ละชนิดจะมีส่วนประกอบที่ต่างกัน แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำการใช้ยาคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับคุณและเขียนใบสั่ง ยาให้ ยาเม็ดคุมกำเนิดขัดขวางการตกไข่และทำให้ไข่ไม่สามารถฝังตัวลงในผนังมดลูกได้ ยาเม็ดคุมกำเนิดมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อซื้อยาเม็ดคุมกำเนิด
          หญิงอายุเกิน 35 ปีและสูบบุหรี่ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด รวมทั้งผู้หญิงที่มีปัญหาเส้นเลือดอุดตัน มะเร็งเต้านม โรคหัวใจหรือโรคร้ายแรงทางตับ
แหวนใส่ช่องคลอด
          แหวนใส่ช่องคลอดเป็นวงแหวนอ่อนนุ่มที่มีความยืดหยุ่นสามารถสวมลงในช่องคลอด ได้ด้วยตัวเอง แหวนใส่ช่องคลอดประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในปริมาณที่น้อยกว่ายา เม็ดคุมกำเนิด แหวนใส่ช่องคลอดจะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมา ควรใส่แหวนช่องคลอดทิ้งไว้ในช่องคลอดเป็นเวลาสามสัปดาห์ จากนั้นจึงค่อยถอดและสวมแหวนใหม่หลังผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ แหวนใส่ช่องคลอดช่วยป้องกันการตกไข่ แหวนนี้สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย สามารถหาซื้อแหวนใส่ช่องคลอดได้จากร้ายขายยาโดยต้องมีใบรับรองแพทย์ นับเป็นอุปกรณ์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ผู้หญิงที่ไม่สามารถใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจะไม่สามารถใช้แหวนคุมกำเนิดได้เช่น กัน

แผ่นคุมกำเนิด
          แผ่นคุมกำเนิดจะมีปริมาณเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในระดับเท่ากับยาเม็ดคุม กำเนิดแต่โดยการใช้ยาต่ำที่สุด ฮอร์โมนจะถูกปล่อยออกมาผ่านทางผิวหนัง แผ่นคุมกำเนิดควรจะเปลี่ยนในวันเดียวกันของแต่ละสัปดาห์รวมเป็นเวลาสาม สัปดาห์ หลังจากใช้แผ่นคุมกำเนิดไปแล้วสามสัปดาห์ คุณต้องหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ก่อนใช้แผ่นคุมกำเนิดใหม่ในวันเดียวกันของ สัปดาห์ แผ่นคุมกำเนิดใช้เพื่อป้องกันการตกไข่ สามารถหาซื้อแผ่นคุมกำเนิดได้จากร้านขายยาโดยต้องมีใบรับรองแพทย์ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเชื่อถือได้พอกับยาเม็ดคุมกำเนิด
ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่างเดียว
          ยาคุมแบบโปรเจสโตเจนอย่างเดียว (Mini pill) ประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิดเดียวคือ โปรเจสโตเจน ควรใช้ยาตัวนี้ในเวลาเดียวกันของทุกวัน หากลืมใช้ยาจนเลยเวลาไปแล้วเกินกว่า 27 ชั่วโมง จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดเพิ่มเติมสำหรับช่วง 14 วันถัดไป ให้ใช้ยาตามปกติ จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อรับยาตัวนี้
ห่วงคุมกำเนิดประเภท Hormone coils
          ห่วงคุมกำเนิดชนิดนี้ (Intrauterine System (IUS) หรือ Intrauterine Device (IUD)) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้สอดเข้าในมดลูกของผู้หญิงโดยแพทย์ การใส่ห่วงคุมกำเนิดอาจให้ความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่อาการดังกล่าวจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หากยังรู้สึกไม่สบาย ให้สอบถามจากแพทย์ ห่วงคุมกำเนิดจะไปขัดขวางการเติบโตของเยื่อบุผนังมดลูก ทำให้เชื้ออสุจิไม่สามารถเจาะเข้าในเยื่อบุปากมดลูก นอกจากนี้ยังไปขัดขวางไม่ให้เชื้ออสุจิเคลื่อนผ่านปากมดลูก ห่วงคุมกำเนิดสามารถใช้ได้เป็นเวลาหลายปี และเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีความน่าเชื่อถือสูง
ยาฝังคุมกำเนิด
          ยาฝังคุมกำเนิดมีจำหน่ายในนอร์เวย์อยู่สองประเภทด้วยกัน โดยมีขนาดเท่ากับไม้ขีดไฟและประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสโตเจนสังเคราะห์ ใช้โดยการสอดเข้าใต้ท้องแขนของผู้หญิงเป็นระยะเวลาสามถึงห้าปี ขึ้นอยู่กับชนิดที่ใช้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ฝังตัวยา ยาฝังคุมกำเนิดทำงานโดยป้องกันการตกไข่และส่งผลต่อการสร้างเมือกบริเวณปาก มดลูกทำให้เชื้ออสุจิไม่สามารถเข้าถึงมดลูกและท่อรังไข่ได้ ยาฝังคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้

ห่วงคุมกำเนิดประเภท Copper coils
          ©Steinar Myhr/Samfotoห่วงคุมกำเนิดชนิดนี้ (Intrauterine System (IUS) หรือ Intrauterine Device (IUD)) ใช้งานโดยสวมเข้าในมดลูกเหมือนกับห่วงคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน ห่วงคุมกำเนิดประเภทนี้จะขัดขวางไม่ให้ไข่ฝังตัวลงในมดลูกได้ และสามารถขัดขวางเชื้ออสุจิไม่ไห้เคลื่อนเข้าไปในมดลูก ห่วงคุมกำเนิดประเภทนี้ใช้ได้ผลดีเป็นเวลาห้าถึงสิบปี และถือเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ดีพอสมควร Copper coils สามารถทำให้ประจำเดือนมีมากกว่าปกติและอาจมีอาการปวดประจำเดือนตามมา
การทำหมัน
          การทำหมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคุมกำเนิด ผู้ชายหรือผู้หญิงที่ทำหมันจะไม่สามารถมีบุตรได้ หากทำหมันแล้วการแก้ไขในภายหลังจะทำได้ยาก ดังนั้นจึงควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำหมัน

การคุมกำเนิดฉุกเฉิน
          หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ฝ่ายหญิงตกไข่ โอกาสในการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 20% หากคุณมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้วิธีการคุมกำเนิดในช่วงนี้ คุณสามารถซื้อยาคุมกำเนิดฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ที่ร้านขายยา ยาเม็ดเหล่านี้ประกอบด้วยฮอร์โมนในปริมาณสูงซึ่งจะต้องใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพหลังจากผ่านไปสามถึงสี่ สัปดาห์เพื่อตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ ยาชนิดนี้อาจส่งผลต่อตัวอ่อนหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น หรืออาจสวมห่วงคุมกำเนิดภายในห้าวันหลังการร่วมเพศที่เพื่อป้องกันการตั้ง ครรภ์
วิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือไม่ได้
          ช่วงปลอดภัยตามทฤษฎี เราสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หากไม่มีการร่วมเพศในช่วงที่ผู้หญิงกำลังตก ไข่ แต่เป็นวิธีการที่เชื่อถือไม่ค่อยได้เนื่องจากระยะเวลาและรอบเดือนของช่วง การตกไข่ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป
วิธีการหลั่งภายนอก
          หากการร่วมเพศถูกขัดขวางก่อนการหลั่งเชื้ออสุจิ อาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เชื้ออสุจิบางส่วนอาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอดก่อนการหลั่งเกิดขึ้น ทำให้เชื้ออสุจิที่ผิวหนังรอบ ๆ ปากมดลูกเคลื่อนตัวเข้าไปในปากมดลูกได้





วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รัก อย่างไร...ไม่เป็นทุกข์

คนเราทุกคนต้องการความรัก รักแล้วก็ต้องการความสุข จนเผลอไผลคิดไปว่า รักคือความสุข อันที่จริง รักให้ได้ทั้งสุขและทุกข์ อยู่ที่เรารักอย่างไรและคาดหวังอะไรจากความรัก ต่อไปนี้เป็นวิธีคิด เพื่อสร้างมุมมองใหม่ อย่าเอาความสุขทั้งชีวิตไปฝากไว้กับใคร มีเขาแค่เพื่อ "เติมเต็ม" ก็พอ



         1. ขณะรักควรมีความสุขได้ด้วยตัวเอง คนอื่นที่เข้ามาเติมความสุขให้ ถือเป็นเพียงโบนัสที่เพิ่มเข้ามา

         2. ขณะรักควรปรารถนาให้ผู้อื่นเกิดสุขด้วย ไม่ใช่คิดถึงแต่ความสุขของเราฝ่ายเดียว เช่น เมื่อคนที่เรารักไม่รักเรา แต่เขามีความสุขของเขา แม้เราจะเศร้าก็ยังคิดได้ว่า อย่างน้อยก็ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข

         3. ลดความคาดหวัง แม้เราจะเป็นปุถุชนซึ่งคงตัดความคาดหวังไม่ได้ แต่ถ้าเรายิ่งคาดหวังจากอีกฝ่ายน้อยลงเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะสุขสมหวังก็ยิ่งมากขึ้น

         4. ยอมรับความแตกต่าง ทั้งด้านสรีระและความคิดของผู้อื่น ความคิดไม่ตรงกันนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ หากฝ่ายหนึ่งไม่พยายามทำให้อีกฝ่ายคิดเหมือนกัน และพยายามเข้าใจว่าเหตุใดจึงคิดต่างกัน ปัญหาก็จะไม่เกิด หากเข้าใจและยอมรับได้แล้ว เมื่อเห็นเขาทำตัวไม่ถูกใจ ไม่น่ารัก ขี้บ่น ใจร้อน เราก็จะปรับตัวให้เข้ากับเขาและมอบความรักให้ได้ง่ายขึ้น

         5. ยอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ความรักจึงจะยืนยาว เพราะความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาของโลก เพลงโปรด ฟังซ้ำ อาหารจานประจำ กินบ่อยก็เบื่อ ความรักที่เคยจี๋จ๋าหวานแหวว อาจจืดจางลง แต่ยังคงความผูกพันและสัมพันธ์อันดี หรือแม้จะเลิกรา บางคู่ก็ยังเป็นเพื่อนรู้ใจต่อกันได้

         6. ไม่ควรทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ หรือสิ่งที่ตนคิดว่าดีให้คนอื่นเพียงอย่างเดียว จะต้องมองถึงความต้องการของเขาด้วย จะได้ไม่ต้องมาน้อยใจว่าเราอุตส่าห์หวังดี ยอมเหน็ดเหนื่อยทำเพื่อเขา แต่เขากลับไม่เห็นคุณค่า

         7. ความเกรงใจ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะคนใกล้ชิดสนิทกัน มักคิดว่าจะสามารถทำอะไรตามใจตัวได้แทบทุกเรื่อง จนลืมนึกถึงความรู้สึกของอีกคนไป

         8. พูดจาชื่นชมในสิ่งดีของกันและกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีมอบความรักที่ควรทำ บางคนละเลยว่าอยู่ด้วยกันมานาน เรื่องดีเขาคงรู้อยู่แล้วไม่ต้องชม จึงเอาแต่พูดถึงสิ่งไม่ดีหรืออยากให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลง เอาแต่บ่นโดยไม่เคยชม คนฟังก็ท้อใจเหมือนกัน

         9. ถ้ารักแล้วไม่แสดงออกเลยอีกฝ่ายก็คงไม่รู้ เพราะเขาไม่มีตาทิพย์ แต่การแสดงความรู้สึกแค่ไหน อย่างไร  คงต้องดูว่าเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการด้วย ส่วนความต้องการของเราก็ควรบอกตรงๆ ไม่ใช่คาดหวังให้คู่ของเราเป็นหมอดู คอยเดาใจ

         และถ้าจะรักให้ดีต่อ สุขภาพจิต ทุกคนควรคิดว่าความรักนั้นเหมือนกับดอกไม้ที่สวยงาม หรือเป็นของหวานสำหรับชีวิต อย่ายึดติดว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าคิดว่า "รัก" เป็นข้าวปลาอาหารหรืออากาศที่ขาดไม่ได้!!

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แม่



หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปี
ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ


เพราะ....วันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง
มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ

' ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ' ภรรยาผมพูด

'แต่ผมรักคุณนี่' ผมเถียง

'ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน'


ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ 'แม่' ของผมเอง
ซึ่งเธอเป็นหม้ายและใช้ชีวิตเพียงลำพังกับสัตว์เลี้ยงมา 19 ปีแล้ว

เนื่องจากงานที่รัดตัว ทั้งเจ้านายและลูกค้าที่ผมจะต้องรับผิดชอบ
และยังมีภรรยาและลูก ๆ ที่ต้องดูแล
ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น

ผมตอบตกลงกับภรรยา และขอบคุณที่เธอให้โอกาสเช่นนั้น
วันที่ผมโทรไปหาแม่ เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนัง
แม่ถามผมว่า 'มีอะไรหรือ? ลูกสบายดีรึเปล่า?'
แม่คิดว่าการที่ผมโทรมาหาอย่างกระทันหัน
หมายความว่ า มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น
ผมตอบแม่ว่า 'ไม่ มีอะไรคับ ก็อยากคุยกับแม่ และคงจะดีมาก ถ้าเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตามลำพังสองคนแม่ลูกบ้าง ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ดูหนังด้วยกันสักเรื่อง'
แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า 'ได้สิจ๊ะ แม่ยินดีมากเลยจ้ะ' + 'แล้วลูกมีเวลาว่างแล้วเหรอจ๊ะ หยุดงานได้เหรอ'
...
เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน
ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่า
แม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน
แม่สว มเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว

แม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย
พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์

แม่บอกเพื่อน ๆ ว่า 'จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย'
แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ เพื่อน ๆ ของ??ม่ต่างพากันประทับใจยกใหญ่

เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม
บรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ
ผมวางแผนว่าต้องเป็นร้านในสไตล์ที่แม่ต้องชอบ

แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง

หลังจากที่เรานั่งเรียบร้อยแล้ว
ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอาหาร
เพราะแม่บอกว่า 'ตอนนี้สายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น'

เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง
จึงหยุดเว้นจังหวะ เพื่อให้แม่ได้เลือกรายการอาหาร
ผมเงยหน้าขึ้น มองเห็นแม่กำลังจ้องมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง

แม่พูดเปรยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
'ตอนที่ลูกยังเด็ก แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟังหลายรอบ'

ผมบอกแม่ว่า 'งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบาย ๆ บ้างแล้ว'

ในระหว่างมื้ออาหารนั้น
เราคุยกันอย่างถูกคอ - ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร -
เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเรา

เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน

...

เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า 'แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ' -
'แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ'


'แน่นอนครับ' ผมตอบตกลง


'ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง?'  ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน
'วิเศษมาก ๆ ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย'  ผมตอบ

อีกไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย

หลายวันต่อมา
ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป
มีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า...

'แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปอีกครั้งไม่ได้ -
แต่... แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือ สำหรับลูกกับภรรยา - ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน,  รักลูกมากจ๊ะ'


ณ วินาทีนั้น ผมได้เข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า ''รัก'
ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน

ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ
จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ
เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้


-มีบางคนบอกว่า หลังจากที่คลอดลูกแล้วต้องใช้เวลาพักฟื้นราว 6 สัปดาห์ แม่จึงจะคืนสภาพเดิม
คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่าคนเดิมอีกต่อไป

-บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ
คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เกต

-บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ
คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับ หลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาด ๆ

-บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง
คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้และใบรับประกัน

-บาง คนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก
คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมา ทันได้เห็นลูกหวดลูกบอลเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้านพอดิบพอดี

-บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้
คนนั้นไม่เคยช่วยลูกที่กำลังเรียน ป.4 ทำการบ้านเลข

-บางคนบอกว่า แม่รักลูกคนที่ห้าไม่เท่าลูกคนแรก
คนนั้นไม่เคยมีลูกห้าคน

-บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่ คือตอนคลอดและตอนเลี้ยง
คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมลไปโรงเรียนอนุบาลวันแรก
ไม่เคยส่งลูกเข้าห้องหอในคืนแต่งงาน

-บางคนบอกว่า งานของแม่นั้นหมู ๆ ปิดตาสองข้าง หรือมัดมือไว้ข้างหนึ่งก็ยังไหว
คนนั้นไม่เคยสอนการออกเดินขายขนมให้กับเหล่ายุวนารี
ที่กระจุ๊กกระจิ๊กคิกคักกันอยู่ตลอดเวลา

-บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป
คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือการนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่

-บางคนบอกว่างานของแม่ สิ้นสุดลงเมื่อลูกคนสุดท้ายออกจากบ้านไป
คนนั้นไม่เคยมีหลานยาย หรือหลานย่า

-บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้
คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เกินกว่าการมองเห็น

ผู้โดยสารบนรถประจำทางกำลังมองผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่มีไม้เท้าขาวอยู่ในมืออย่างเห็นอกเห็นใจ เธอเดินขึ้นบันไดรถอย่างระมัดระวัง หลังจากชำระค่าโดยสารให้แก่พนักงานแล้วใช้มือคลำหาที่นั่ง ค่อย ก้าวลึกเข้าไปตามช่องทางเดิน จนกระทั่งเขาจะเป็นฝ่ายกระซิบบอกเมื่อพบที่ว่าง เธอจึงนั่งลง วางกระเป๋าถือไว้บนตัก  และเก็บไม้เท้าเอามาพาดไว้บนหน้าขา  

หนึ่งปีแล้วที่ ซูซานวัย 34 ปีได้กลายเป็นคนตาบอด การวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ผิดพลาด ทำให้เธอต้องตกอยู่ในโลกมืด ไม่อาจมองเห็นได้อีกต่อไป อารมณ์โกธรแค้น สูญเสียและสงสารตัวเอง พลันอุบัติขึ้นและดำรงอยู่นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ก่อนนั้น  ซูซานสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่บัดนี้เธอรู้สึกเหมือนถูกลงทัณฑ์ด้วยเคราะห์กรรมสักอย่างให้กลายเป็นคนไร้ความสามารถ ช่วยตัวเองไม่ได้ กระทั่งกลายเป็นภาระของคนรอบข้าง ทำไมฉันต้องเป็นเช่นนี้เธออยากสู้คดี หัวใจเธอเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ไม่ว่าจะร่ำไห้คร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือสวดมนต์วิงวอนเพียงใด เธอก็ตระหนักถึงความจริงอันเจ็บปวดว่า สายตาเธอนั้นไม่มีวันกลับคืนมาดีได้ดังเดิมอีกแล้ว
เมฆหมอกแห่งความหดหู่ได้ปกคลุมจิตใจที่เคยมองโลกในแง่ดีของซูซานไปเสียแล้ว เพียงแค่จะใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวันก็ดูจะสั่งสมถมเพิ่มความหงุดหงิด และเหนื่อยอ่อนให้เธอเกินจะแบกทานไหว ทั้งหมดนี้จึงทำให้เธอต้องผูกพันอยู่กับมาร์ก ผู้เป็นสามีแต่เพียงผู้เดียว มาร์กเป็นทหารอากาศซึ่งรักซูซานจนหมดหัวใจ เมื่อแรกที่เธอนั้นต้องสูญเสียการมองเห็นไปนั้น เขาได้แต่นั่งมองภรรยาจมอยู่กับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ถัดมาเขาก็เกิดปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะช่วยเธอกลับมาเป็นคนเข้มแข็งและมี ความมั่นใจในตัวเองเหมือนอย่างที่เคยเป็น
จาก ประสบการณ์ด้านการทหาร ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อเผชิญกับสถานการณ์อันละเอียดอ่อน เขาพบว่านี่เป็นศึกหนักที่ยากสุดเท่าที่เขาเคยเผชิญมา และแล้วซูซานก็พร้อมจะกลับไปทำงานอีกครั้งหนึ่ง แต่ปัญหายังมีอยู่ว่าเธอจะเดินทางไปทำงานได้อย่างไร
ก่อนนี้เธอ เคยใช้บริการรถประจำทาง แต่ยามนี้เธอกลับวิตกที่จะต้องไปไหนมาไหนโดยลำพัง มาร์กอาสาขับรถไปส่งเธอ แม้ทั้งคู่จะทำงานกันคนละมุมเมืองเลยก็ตาม ความคิดดังกล่าวทำให้ซูซานสบายใจขึ้น ทั้งยังเป็นการสนองความปรารถนาของมาร์กที่อยากดูแลคู่ชีวิตผู้ขาดความมั่นใจ ที่จะเผชิญกับสถานการณ์อันเปราะบางที่สุดเช่นนี้
ในไม่ช้ามาร์กก็ตระหนักว่าความคิดนั้นไม่เข้าท่า วุ่นวาย และสิ้นเปลืองมากเกินไป ซูซานต้องกลับไปขึ้นรถประจำทางอีกครั้ง เขาสรุปกับตัวเอง แต่เพียงแค่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้กับเธออย่างไร ก็ทำให้เขารู้สึกหนักใจเสียแล้ว เนื่องจากเพราะเธอต้องการคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด บวกกับยังเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่มากเธอจะคิดอย่างไรนะ ?” มาร์กอดปรารภกับตัวเองไม่ได้
เหตุการณ์เป็นไปตามที่มาร์กคาดไว้ไม่มีผิด ซูซานกลัวที่จะกลับมานั่งรถประจำทางอีกครั้ง
ฉันตาบอดนะเธอกล่าวอย่างขมขื่น
แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะไปไหน มาร์กคุณรู้สึกไหมว่าฉันรู้สึกว่าคุณกำลังจะทอดทิ้งฉัน
หัวใจมาร์กพลอย ปวดร้าวเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขาจึงสัญญาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเธอทุกเช้าและเย็นจนกว่าเธอจะค่อย ๆ คุ้นชิน แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เป็นเวลาสองสัปดาห์ที่ผู้โดยสารบนรถประจำทางสายนั้นได้เห็นมาร์กในเครื่องแบบทหารเต็มยศ  ปรากฏร่างอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนเธอทั้งเช้าและเย็นทุกวัน เขาเฝ้าอดทนสอนให้เธอรู้จักใช้ประมาทสัมผัสอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการได้ยิน เพื่อจะได้รู้ว่าขณะนี้กำลังอยู่ที่ใด รวมทั้งยังสอนให้เธอรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ และช่วยเธอผูกมิตรกับพนักงานขับรถ เพื่อที่เขาคนนั้นจะได้ช่วยดูแล หาที่นั่งให้เธออีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้เขายังทำให้เธอหัวเราะได้แม้ในวันที่ดูจะเป็นปัญหา เช่น ตอนที่เธอหกล้มขณะเดินลงรถ หรือตอนที่เธอทำกระเป๋าถือหล่นจนเป็นผลให้เอกสารทั้งหลายทั้งปวงร่วงเกลื่อนทางเดิน ทั้งคู่จะออกเดินทางด้วยกันตอนเช้า แล้วมาร์กก็จะนั่งแท็กซี่กลับไปทำงานตามปกติ ถึงแม้ว่านี่จะดูเป็นการสิ้นเปลืองและทำให้มาร์กเหน็ดเหนื่อยมากกว่าความคิดแรก แต่เขาก็รู้ดีว่ามีแต่เวลาเท่านั้นที่จะช่วยให้เธอสามารถขึ้นรถประจำทางได้ด้วยตัวเอง
เขายังเชื่อมั่นในตัวเธอเสมอ ซูซานผู้ไม่เคยเกรงกลัวการท้าทายอันใด และไม่ยอมเลิกราอะไรง่าย ๆ ในที่สุด วันที่ซูซานรู้สึกว่าตนพร้อมที่จะเดินทางโดยลำพังก็มาถึง ก่อนจะก้าวขึ้นรถประจำทางในเช้าวันจันทร์ เธอได้โอบกอดมาร์กผู้เป็นสามีและเคยเป็นเพื่อนร่วมทางบนรถที่ดีที่สุดของเธอ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตันในความซื่อสัตย์ ความอดทน และความรักที่สามีมีต่อเธอ จากนั้นเธอได้กล่าวลา และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองแยกกันเดินทางไปทำงาน จากวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส แต่ละวันดำเนินไปด้วยดี ทว่าลึก ๆ แล้วซูซานไม่เคยรู้สึกดีขึ้นเลย เธอเพียงแต่ทำไปตามปกติ เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง เช้าวันศุกร์ เธอยังคงขึ้นรถประจำทางไปทำงานเช่นเคย และเมื่อกำลังจะลงจากรถนั้น เธอได้ยินคนขับรถพูดขึ้นมาว่า
แหมผมอิจฉาคุณจัง
แรกทีเดียวซูซานไม่มั่นใจว่าเขาพูดกับเธอหรือเปล่า ก็ใครเล่าจะอิจฉาคนตาบอดผู้พยายามรวบรวมความกล้าหาญเพื่อ ที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ แต่ด้วยความอยากรู้ เธอจึงถามกลับไปว่าทำไมคุณอิจฉาล่ะ
คนขับรถตอบว่าผมคงรู้สึกดีมาก ๆ หากมีใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องเหมือนอย่างที่คุณได้รับอยู่
ซูซานไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจึงถามอีกคุณหมายความว่าอย่างไรกัน
เขาตอบว่าคุณรู้ไหมว่าทุกเช้า ๆ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีสุภาพบุรุษหน้าตาดีคนหนึ่งในเครื่องแบบทหาร ยืนตรงหัวมุมถนนคอยเฝ้าดูคุณ เวลาคุณก้าวลงจากรถ รอจนมั่นใจว่าคุณได้ข้ามถนนอย่างปลอดภัยแล้ว และยังคงคอยกระทั่งคุณเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานจนเรียบร้อย จากนั้นก็ส่งจูบและคำนับให้นิดหนึ่งก่อนจะเดินจากไป  นี่ละ ผมจึงเห็นว่าคุณเป็นสุภาพสตรีที่โชคดีเหลือเกิน
น้ำตาแห่งความปลื้มปิติค่อย ๆ ไหลรินลงมาอาบแก้มของซูซาน แม้ขณะนี้เธอไม่อาจมองเห็นเขาได้ด้วยสายตาตนเองก็จริง แต่เธอสามารถสัมผัสได้ตลอดเวลาถึงการมีตัวตนอยู่ของมาร์ก เธอช่างโชคดี โชคดีมาก ๆ เพราะเขาได้มอบของขวัญที่มีคุณค่ามากกว่าการมองเห็น

ข อ ง ข วั ญ ที่ เ ธ อ ไ ม่ จำ เ ป็ น ต้ อ ง ไ ด้ เ ห็ น ถึ ง จ ะ เ ชื่ อ
เป็นของขวัญแห่งความรักที่สามรถนำมาซึ่งแสงสว่างไปสู่ทุก ๆ หนแห่งในความมืดมิด

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โชคดีวันนี้มีความสุข

สิ่งที่ยังไม่เกิด ความคิดนี่แหละ
ที่บั่นทอนพละกำลังส่วนหนึ่งของความสุขที่ควรจะเกิด ควรจะมี ให้ลดน้อยลงไป
บางขณะ เราน่าจะทำชีวิตให้ดีกว่านั้นได้ง่ายๆ
แต่เพราะความคิด ความกังวล



ทำให้สิ่งที่น่าจะง่าย กลายเป็นสิ่งยุ่งยาก
ถ้าความคิดบางอย่าง ยิ่งคิด ยิ่งเศร้า ยิ่งทำให้กังวล
ยิ่งไม่มีความสุข ยิ่งหวาดกลัววันข้างหน้า ก็อย่าไปคิดมันเลย
แค่ทำวันนี้ให้มีความสุข ทำให้ดีที่สุดกับเวลานี้ที่มีโอกาสนี้...
บางที ใครจะรู้ว่า อะไรๆที่ไปกังวลนั้น อาจจะมาไม่ถึงก็ได้..

ชีวิตอาจไม่ยาวนานถึงขนาดนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ จะตื่นหรือเปล่า
อย่ากังวลกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง...
มองวันนี้ ทำวันนี้ มีความสุขกับทุกวินาทีนี้ .....
ที่ยังหายใจอยู่ดีกว่า เวลามีพอเสมอสำหรับความสุข .

ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้...
ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต
ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิด
ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ เพราะนั่นคือการเป็นชีวิต
ความทุกข์สอนให้แต่ละคนเข้มแข็งในแง่มุมต่างๆ
ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหา ก็จะไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้เป็นอย่างไร
ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้จักความสุข......
เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคน อ่อนแอ หรือเข้มแข็ง
ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ.....

ต่างจากความสุข ที่ทำให้อ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ
ความสุขเหมือนฝนพรำสาย
อ่อนโยน งดงาม บางเบา แต่ว่างเปล่า ไม่มีการเรียนรู้ใดในความสุข.......
เมื่อใดที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับ และคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์
ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเอง
รู้จักการเติบโตทุกๆก้าว
ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่า

โชคดีที่วันนี้มีความทุกข์
เพราะเมื่อผ่านความทุกข์ ความสุขก็จะรออยู่เบื้องหน้า...
จงใช้ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต.

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ศักดิ์ศรี

พูดถึงเรื่องอัตตาตัวตนบางคนฟังไม่ถูก จึงขอพูดถึงอาการของอัตตาที่ค่อนข้างชัดเจน นั้นคือสิ่งที่เราเรียกว่าศักดิ์ศรี



เราควรจะดูตัวเองให้เป็นว่า
ศักดิ์ศรีของเราอยู่ตรงไหน
เพราะศักดิ์ศรีเป็นจุดอ่อนของเรา
เป็นทีเกิดของทุกข์
สิ่งใดก็ตามแม้แต่ขี้ปะติ๋ว
หากกระทบศักดิ์ศรีของเราเมื่อใดก็เป็นเรื่องเมื่อนั้นทันที
ถ้าเราเอาการรักษาศักดิ์ศรีเป็นเครื่องตัดสินว่า
เราจะทำหรือไม่ทำอะไรในชีวิต
เราควรจะระวังให้ดีว่า
เราผูกศักดิ์ศรีของเราไว้กับอะไรบ้าง
ตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชนคงยังไม่พ้นความยึดมั่นในศักดิ์ศรี
แต่อย่างน้อยที่สุดเราควรจะพัฒนามัน
จนขึ้นอยู่กับการเป็นพุทธมามกะมากกว่าอย่างอื่น
การมีอัตตาหรือการเป็นชาวพุทธที่ดียังมีโทษอยู่
แต่สำหรับนักปฏิบัติธรรมอาจใช้ความรู้สึกในศักดิ์ศรี
มาหนุนกำลังความละอายต่อบาปในเบื้องต้น
และเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่ความปลอดภัยในที่สุด
ทุกวันนี้เราเอาอะไรมาเป็นศักดิ์ศรีของตน ขอให้ดูให้ดี
เพราะถ้าไม่ระวังในเรื่องนี้ เดี๋ยวจะกีดกั้นความเจริญในธรรม
มัวแต่เป็นห่วงเรื่องมายา
คือเอาแต่กังวลเรื่องความรู้สึกของเขาต่อเรา อย่างนี้ก็ยุ่ง
ถ้าศักดิ์ศรีของเราขึ้นอยู่กับความมั่นใจว่า
เขารักเราจริง เขาเคารพเราจริง เขากลัวเราจริง ฯลฯ
อย่างนี้ไม่มีวันที่จะสงบได้
เราจะอ่อนไหวต่อการกระทำของคนอื่นตลอดเวลา
เขาทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขาไม่ทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขาพูดอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขาเงียบอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขายิ้นอย่างนั้นแปลว่าอย่างไร
เขาหน้าตาเฉยอย่างนั้นแปลว่าอย่างไร
เป็นนักแปลอย่างนี้เหน็ดเหนื่อยมาก

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทำอย่างไรกับชีวิตหลังแต่งงาน

คู่รักทุกคู่คงต่างตั้งความหวังไว้ใน ใจว่า … จะทำอย่างไรให้มีชีวิตแต่งงานของตนเป็นไปอย่างสวยหรูตามที่คิดไว้ ? แต่เชื่อได้ความความสัมพันธ์ของคนสองคนที่จะมาอยู่ร่วมชีวิตกันนั้น มีเรื่องราวของความเปราะบางละเอียดอ่อนในการใช้ชีวิตคู่กันเป็นอย่างมาก



ฉะนั้น หลายคนจึงแต่งงานหลายๆ ครั้ง ขณะที่บางคนแต่งงานเพียงแค่ครั้งเดียวแล้วก็อยู่ยืนยาวไปตลอดชีวิต หรือบางคนอาจจะเลือกไม่แต่งงานตลอดชีวิตเลยก็ได้ ซึ่งทุกคนย่อมต่างมีเหตุผลของตนเองในการเลือก และตัดสินใจ
แต่หากลองกลับมาคิดดูว่า หากคุณตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก และคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด เชื่อไหมล่ะว่าแม้จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นอีกที่คุณต้องคิดถึง

ดาเนียล คลาโรว์ เขียนไว้ในหนังสือของเธอเรื่อง “จะทำอย่าง ไรให้มีชีวิตแต่งงานอย่างที่คุณหวัง” ว่าการแต่งงานเป็นแรงผลักดันในเราต้อง เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เปราะบางที่สุด ทั้งคำมั่นสัญญา การจัดลำดับความสำคัญ ศาสนา เงิน และนิสัยไม่ดีในครอบครัว และอย่าได้คิดว่าคุณจะสามารถจัดการกับเรื่องราวทั้งหมดได้ในคราวเดียวกัน
ขณะที่ ทอดด์ เอาท์คาลท์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “ก่อนที่คุณจะ ตัดสินใจแต่งงาน” เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า ชีวิตสอนให้เรารู้ว่า ความเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ ฉะนั้นความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เรารู้ว่าคนเราแต่ละคนนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
แต่ทั้งนี้ จุดใหญ่ใจความก็คือทั้งสามีและภรรยาจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน ด้วยความสามารถที่พอจะมีอยู่ในโลกใบนี้ ลองมาดู 5 สิ่งที่คุณควรคิดถึงก่อนที่จะตกลงปลงใจแต่งงานก่อนละกันว่า สิ่งเหล่านี้จำเป็น จริงๆ สำหรับคนที่คิดจะตัดสินใจมีคู่ใช้ชีวิตร่วมหัวจมท้ายกัน

 1. เวลาการทำงาน เป็นเรื่องที่เสมอภาคที่ทั้งคุณและคู่สมรสจะทำงานด้วยกันทั้งคู่ และนั่นย่อมหมายถึงว่าคุณจะต้องจัดสรรเวลาให้สมดุล ทั้งเวลาทำงานและชีวิตส่วนตัวที่บ้าน หากเวลาที่คุณสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน เฉพาะตอนนอนแล้วละก็ คุณกำลังตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะ
 2. ข้อตกลงก่อนแต่งงาน ในวิถีชีวิตปัจจุบันสำหรับคนบางคนนั้น คุณคงต้องเผชิญกับความจริงที่จะต้องมีข้อตกลงกันก่อนที่จะแต่งงาน และต้องเปิดใจกว้างและจริงจังกับเรื่องที่ตกลงกัน ทั้งเหตุผลและความจำเป็น รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ ที่มีต่อกัน
 3. การตรวจโรคเอดส์ หากคุณมีข้อสงสัยในเรื่องนี้ คุณก็ควรที่จะไปตรวจโรคนี้ด้วยกันทั้งคู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องของความไว้วางใจและการเคารพสิทธิส่วนบุคคล และหากมันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณคนใดคนหนึ่งแล้ว มันย่อมหมายถึงว่านี่คือสิ่งสำคัญสำหรับคุณทั้งคู่ด้วยเช่นกัน
  4. คุณทั้งสองคนต้องการจะมีลูกหรือไม่ สองหรือห้าคน แล้วจะมีลูกตอนไหน การมีลูกเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากในชีวิตแต่งงาน และเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ว่าแต่ละฝ่ายมีความเห็นในเรื่องนี้ อย่างไร
  5. ญาติโกโหติกา หลังแต่งงานความสัมพันธ์ของคุณจะต้องแผ่กว้างไปถึงญาติๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย และนั่นอาจกลายเป็นฝันร้ายของชีวิตได้ หันมาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ดีกว่า หากคุณมีญาติที่ก็ไม่ได้ดีนัก และก็ไม่ได้แตก ต่างไปจากคู่สมรสของคุณเท่าไร คราวนี้ไม่ว่ามันจะยากหรือง่ายที่จะสานสัมพันธ์กับญาติๆ

ข้อแนะนำที่ดีที่สุดก็คือคุณต้องทนฟังเรื่องที่คนเหล่านั้นพูด ไตร่ตรองถึงข้อแนะนำที่ดี และตัดสินใจด้วยตัวคุณเอง คุณไม่สามารถที่จะทำ ให้ทุกคนพอใจได้ทั้งหมด ดังนั้น หันมาทำให้คุณและคู่สมรสต่างฝ่ายต่างสบายใจกันทั้งสองฝ่ายไม่ดีกว่าเหรอ

จำไว้นะว่า การแต่งงานเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียด คุณค่าของคุณ ความซื่อสัตย์ ประวัติส่วนตัว และพ่อแม่ของคุณล้วนแต่เป็นปัจจัยที่มีผลทั้งหมด คุณต้องตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเรื่อง รวมทั้งต้องรับฟังคำแนะนำจากคนอีกมากมาย การวางแผนการแต่งงาน เหมือนกลยุทธ์ในการรบ และที่สุดแล้วสิ่งที่คุณต้องทำก็คือ “คุณจะทำอย่างไร ให้ทุกสิ่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี” นั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เกมส์ แข่งรถ

เกมแข่งร


เป็นลักษณะของกิจกรรมของมนุษย์เพื่อ ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เพื่อความสนุกสนานบันเทิง เพื่อฝึกทักษะ และเพื่อการเรียนรู้ เป็นต้น และในบางครั้งอาจใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาได้
เกมประกอบด้วยเป้าหมาย กฎเกณฑ์ การแข่งขันและปฏิสัมพันธ์ เกมมักจะเป็นการแข่งขันทางจิตใจหรือด้านร่างกาย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดพัฒนาการของทักษะ ใช้เป็นรูปแบบของการออกกำลังกาย หรือการศึกษา บทบาทสมมุติและจิตศาสตร์ เป็นต้น

เกมเป็นกิจกรรมของมนุษย์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน Royal Game of Ur , Senet และ Mancala เป็นเกมที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์  โดยสามารถย้อนไปได้ถึง 2,600 ปีก่อนคริสตกาล

เกมจะต้องประกอบด้วย

  • ผู้เล่นตามจำนวนของเกมนั้นๆ ที่กำหนด บางเกมหากผู้เล่นไม่ครบตามจำนวนก็ไม่สามารถเล่นได้
  • อุปกรณ์การเล่นเกมนั้นๆ
  • เป้าหมายของเกม ซึ่งอาจมีเป้าหมายเดียวหรือหลายเป้าหมาย โดยผู้เล่นสามารถเลือกวิธีการเล่นได้
  • กฎ กติกา และแนวทางของเกม ที่ผู้เล่นจะต้องปฏิบัติตาม

เกมการละเล่น

เกมการละเล่น เกิดจากการสืบทอดทางวัฒนธรรมของในแต่ละพื้นที่นั้น ๆ โดยจะมีจุดประสงค์หลักเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน ซึ่งจะมีผู้เล่นจำนวนมากเข้ามาร่วมเล่นได้ เกมการละเล่นจะมีคุณลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป

แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป เรื่องทุก ๆ อย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ไม่เว้นแม้แต่เกมส์เช่นกัน เพราะเทคโนโลยี่เขามามีส่วนหนึ่งในการแต่งเติมและสร้างเกมส์หลากหลายขึ้นมาและก็ปฎิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าจะไม่มีใครไม่ชอบเกมส์ในยุคสมัยนี้ อย่างที่รู้จักกันโดยทั่วไป เกมส์ที่มักจะนิยมเล่นกันมากที่สุด คือ เกมส์แข่งรถ เกมส์รถแข่ง เกมส์ทำอาหาร เกมส์แต่งตัว เกมส์ยิง และยังมีอีกมากมาย


พอพูดถึงเกมส์ก่อนจะจากลากันไปวันนี้เรามีแหล่งรวมของเกมส์มากมายมาฝากกันค่ะ ลองเข้าไปเล่นกันดูนะค่ะเพราะมีเกมส์ให้เราเลืิอกเล่นตั้งมากมาย เชื่อว่าต้องชอบแน่ ๆ ค่ะ เข้าไปดูได้ที่ http://www.girlzeed.com/


 หรือเข้าไปได้อีกทางหนึ่งที่  http://gamearai.com/

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทำอย่างไรกับชีวิตหลังแต่งงาน

คู่รักทุกคู่คงต่างตั้งความหวังไว้ใน ใจว่า … จะทำอย่างไรให้มีชีวิตแต่งงานของตนเป็นไปอย่างสวยหรูตามที่คิดไว้ ? แต่เชื่อได้ความความสัมพันธ์ของคนสองคนที่จะมาอยู่ร่วมชีวิตกันนั้น มีเรื่องราวของความเปราะบางละเอียดอ่อนในการใช้ชีวิตคู่กันเป็นอย่างมาก


ฉะนั้น หลายคนจึงแต่งงานหลายๆ ครั้ง ขณะที่บางคนแต่งงานเพียงแค่ครั้งเดียวแล้วก็อยู่ยืนยาวไปตลอดชีวิต หรือบางคนอาจจะเลือกไม่แต่งงานตลอดชีวิตเลยก็ได้ ซึ่งทุกคนย่อมต่างมีเหตุผลของตนเองในการเลือก และตัดสินใจ

แต่หากลองกลับมาคิดดูว่า หากคุณตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก และคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด เชื่อไหมล่ะว่าแม้จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นอีกที่คุณต้องคิดถึง
ดาเนียล คลาโรว์ เขียนไว้ในหนังสือของเธอเรื่อง “จะทำอย่าง ไรให้มีชีวิตแต่งงานอย่างที่คุณหวัง” ว่าการแต่งงานเป็นแรงผลักดันในเราต้อง เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เปราะบางที่สุด ทั้งคำมั่นสัญญา การจัดลำดับความสำคัญ ศาสนา เงิน และนิสัยไม่ดีในครอบครัว และอย่าได้คิดว่าคุณจะสามารถจัดการกับเรื่องราวทั้งหมดได้ในคราวเดียวกัน
ขณะที่ ทอดด์ เอาท์คาลท์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “ก่อนที่คุณจะ ตัดสินใจแต่งงาน” เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า ชีวิตสอนให้เรารู้ว่า ความเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ ฉะนั้นความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เรารู้ว่าคนเราแต่ละคนนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

แต่ทั้งนี้ จุดใหญ่ใจความก็คือทั้งสามีและภรรยาจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน ด้วยความสามารถที่พอจะมีอยู่ในโลกใบนี้ ลองมาดู 5 สิ่งที่คุณควรคิดถึงก่อนที่จะตกลงปลงใจแต่งงานก่อนละกันว่า สิ่งเหล่านี้จำเป็น จริงๆ สำหรับคนที่คิดจะตัดสินใจมีคู่ใช้ชีวิตร่วมหัวจมท้ายกัน

 1. เวลาการทำงาน เป็นเรื่องที่เสมอภาคที่ทั้งคุณและคู่สมรสจะทำงานด้วยกันทั้งคู่ และนั่นย่อมหมายถึงว่าคุณจะต้องจัดสรรเวลาให้สมดุล ทั้งเวลาทำงานและชีวิตส่วนตัวที่บ้าน หากเวลาที่คุณสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน เฉพาะตอนนอนแล้วละก็ คุณกำลังตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะ
 2. ข้อตกลงก่อนแต่งงาน ในวิถีชีวิตปัจจุบันสำหรับคนบางคนนั้น คุณคงต้องเผชิญกับความจริงที่จะต้องมีข้อตกลงกันก่อนที่จะแต่งงาน และต้องเปิดใจกว้างและจริงจังกับเรื่องที่ตกลงกัน ทั้งเหตุผลและความจำเป็น รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ ที่มีต่อกัน
 3. การตรวจโรคเอดส์ หากคุณมีข้อสงสัยในเรื่องนี้ คุณก็ควรที่จะไปตรวจโรคนี้ด้วยกันทั้งคู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องของความไว้วางใจและการเคารพสิทธิส่วนบุคคล และหากมันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณคนใดคนหนึ่งแล้ว มันย่อมหมายถึงว่านี่คือสิ่งสำคัญสำหรับคุณทั้งคู่ด้วยเช่นกัน

  4. คุณทั้งสองคนต้องการจะมีลูกหรือไม่ สองหรือห้าคน แล้วจะมีลูกตอนไหน การมีลูกเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากในชีวิตแต่งงาน และเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ว่าแต่ละฝ่ายมีความเห็นในเรื่องนี้ อย่างไร
  5. ญาติโกโหติกา หลังแต่งงานความสัมพันธ์ของคุณจะต้องแผ่กว้างไปถึงญาติๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย และนั่นอาจกลายเป็นฝันร้ายของชีวิตได้ หันมาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ดีกว่า หากคุณมีญาติที่ก็ไม่ได้ดีนัก และก็ไม่ได้แตก ต่างไปจากคู่สมรสของคุณเท่าไร คราวนี้ไม่ว่ามันจะยากหรือง่ายที่จะสานสัมพันธ์กับญาติๆ
ข้อแนะนำที่ดีที่สุดก็คือคุณต้องทนฟังเรื่องที่คนเหล่านั้นพูด ไตร่ตรองถึงข้อแนะนำที่ดี และตัดสินใจด้วยตัวคุณเอง คุณไม่สามารถที่จะทำ ให้ทุกคนพอใจได้ทั้งหมด ดังนั้น หันมาทำให้คุณและคู่สมรสต่างฝ่ายต่างสบายใจกันทั้งสองฝ่ายไม่ดีกว่าเหรอ

จำไว้นะว่า การแต่งงานเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียด คุณค่าของคุณ ความซื่อสัตย์ ประวัติส่วนตัว และพ่อแม่ของคุณล้วนแต่เป็นปัจจัยที่มีผลทั้งหมด คุณต้องตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเรื่อง รวมทั้งต้องรับฟังคำแนะนำจากคนอีกมากมาย การวางแผนการแต่งงาน เหมือนกลยุทธ์ในการรบ และที่สุดแล้วสิ่งที่คุณต้องทำก็คือ “คุณจะทำอย่างไร ให้ทุกสิ่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี” นั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่สุด

ปราบผู้ชายเจ้าชู้ ให้อยู่มือ

ตอบยากอยู่เหมือนกันเพราะเป็นความรู้สึกที่มีต่อการกระทำ ถ้าถามผู้หญิง แค่ฝ่ายชายชายตามองหญิงอื่นต่อหน้าต่อตา อาจถือว่าเข้าข่าย ส่วนผู้ชายอาจจะเถียงว่าของสวยใครก็อยากมอง แค่มองไม่คิดอะไร ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยจะเรียกว่าเจ้าชู้ได้อย่างไร



ความเจ้าชู้นั้นมีลีลาและระดับที่ต่างกันไป อาจมีตั้งแต่แค่ชอบมอง ไม่มีเกินเลยไปกว่านั้น หรือมองด้วยสายตาเจ้าชู้ ไม่เกรงใจใคร แต่ไม่มีอะไรเช่นกัน
บางคนออกแนวสุภาพ ชอบดูแลเอาใจใส่สาวๆ ทำตัวน่าอบอุ่นให้สาวแอบไปฝันถึงด้วยความประทับใจ
อีกระดับชอบจีบสาว พาไปกินข้าว ดูหนังบ้าง แต่ไม่มีเรื่องอย่างอื่น
อีกประเภทไม่ใช่แค่ควงกันไปไหนต่อไหน แต่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันด้วย ถึงขั้นนี้ภรรยาส่วนใหญ่คงทำใจให้ยอมรับได้ยาก ยิ่งประเภทชอบเที่ยว มีความสัมพันธ์ไม่เลือก ยิ่งกระทบความสัมพันธ์ในชีวิตคู่
ส่วนประเภทสุดท้ายเป็นแบบจริงจัง มีภรรยาหลายคน เลี้ยงดูทุกคน ลูกสามภรรยาก็สามคนด้วย ไม่ใช่ลูกสามภรรยาหนึ่ง

สำหรับผู้หญิงเรื่องเจ้าชู้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากที่สุด ให้เปรียบเทียบระหว่างสามีเจ้าชู้กับสามีดื่มเหล้า ส่วนมากขอเลือกสามีดื่มเหล้าดีกว่า เมาเหล้าแล้วกลับบ้าน ดีกว่าพวกเมาดิบไปกับสาวๆ
ยกเว้นผู้หญิงบางคนที่ประกาศตัวว่าชอบผู้ชายเจ้าชู้ เพราะคิดว่าผู้ชายเจ้าชู้มีเสน่ห์ ชอบเอาอกเอาใจ โรแมนติก รู้วิถีเอาใจสาว บอกรักได้ไม่มีเบื่อ ผู้หญิงที่อยู่ด้วยจึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่เขารักมากที่สุด แม้เขาจะมีคนอื่นก็ช่าง ขอให้เราเป็นที่หนึ่งแล้วกัน
ส่วนมากความเจ้าชู้ของผู้ชายนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน แต่เพราะความรัก คิดว่าเขารักเราเป็นคนสุดท้าย เขาจะเปลี่ยนแปลงตนเองหลังแต่งงาน หรือตอนยังไม่แต่งคิดว่าเรื่องเจ้าชู้แค่นี้ทนได้ แต่งงานไปแล้วผู้ชายเจ้าชู้อาจจะหยุดตัวเอง ยอมเป็นเสือถอดเขี้ยวเล็บ
แต่อันที่จริงการแต่งงานไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกรับผิดชอบ ความเจ้าชู้ยังคงดำเนินต่อไป แม้ผู้ชายเจ้าชู้จำนวนมากรักภรรยา ไม่อยากเสียชีวิตครอบครัว แต่อานุภาพของความตื่นเต้นเร้าใจ การได้เจอสิ่งใหม่ๆ ได้รู้สึกว่าตนเองมีเสน่ห์ ยังเป็นที่ต้องการของสาวๆ ทำให้ไม่สามารถหยุดตัวเองได้อยู่ดี

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เคยไหมที่ตกหลุมรักเพื่อน

หญิงชายสมัยนี้เป็นคู่ซี้กันมากขึ้น มากกว่าเพศเดียวกัน
ร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกัน กระทั่งเพื่อนๆ มองว่า
เป็นคู่รัก มากกว่า เพื่อน
เพราะรู้และเข้าใจทุกอารมณ์ของกันและกัน
บางคู่เมื่อหญิงและชาย แยกไปมีคนรักอย่างจริงจัง
ฝ่ายที่เหลืออยู่ จะรู้สึกเหงาและเดียวดาย
ส่วนผู้ที่จากไป จะรู้สึกกังวล ห่วงใย
กระทั่งคู่รักเกิดความหึงหวง ต้องแยกจากกันอย่างจริงจัง
แม้จะอาลัยอาวรณ์เพียงใดก็ตาม




หลายคนถูกเพื่อนตั้งคำถาม "ทำไมไม่จีบเป็นแฟนซะเลยหละ"
ผู้หญิงจะตอบว่า "รู้ไส้รู้พุง"
ผู้ชายจะตอบว่า "กระโดกกระเดกเหมือนม้าดีดกระโหลก"
แต่ทั้งสอง รู้ซึ้งถึงทุกอารมณ์ของกันและกัน
รู้ในสิ่งที่ชอบ ไม่ชอบ กิน ไม่กิน แทบจะพูดได้ว่า
แค่ขยับตัวก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึก และต้องการอะไร
การรู้ไส้ รู้พุง กันมากเกินไป ทำให้รักกันไม่ได้
เปล่าเลย - ความจริงคือ
คนสองคนไม่เคยมีบรรยากาศของความหวานซึ้ง อาจจะเคยมี
แต่ต่างฝ่ายต่างมองเห็นเป็นเรื่องขบขัน

คนแบบนี้หวงเพื่อนยิ่งกว่าจงอางหวงไข่
กว่าคนที่มีหัวใจจะบุกทะลวงผ่านมาได้
ต้องใช้ความพยายาม จนเพื่อนรักยอมรับ
คู่ซี้แบบนี้จำนวนมากต้องทนอยู่กับความเจ็บปวด
เมื่อสูญเสียอีกคนไป ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายจากไปก่อนเสมอ
ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงอ่อนไหว แต่เธอกลัว กลัวถูกทิ้ง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นเพื่อนที่เธอรัก รักมาก
แต่เธอไม่รู้ว่า วันใดเขาจะมีคนรัก และจากเธอไป
ด้วยเหตุนี้
ผู้หญิงจึงตอบรับความรักของชายหนุ่มที่มาบอกรักเธอ
เพื่อนซี้บางคนถึงกับโวยวายว่า จะมีแฟนทำไมไม่บอก
เธอจะบอกเขาได้อย่างไร ในเมื่อเธอแคร์ความรู้สึกของเขา
กลัวเขาเจ็บปวด กลัวเขาโกรธ... ถึงอย่างไร
เธอไม่มีทางออก แม้ว่า
บางครั้งแววตาของเขาจะเต็มไปด้วยแววตัดพ้อต่อว่า
เพื่อซี้บางคนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ตะคอกถามว่า
"อยากมีแฟนทำไมไม่บอก ฉันหาให้ก็ได้" หรือ
"ฉันนี่ไงแฟนเธอ แหม! คนเขารู้กันทั่ว"
รู้ว่าทั้งสองเป็นคู่ซี้กัน

อันที่จริง ความสัมพันธ์ ความผูกพันธ์ของคนสองคน
สนิทแนบแน่นกว่าคนรัก
และคนรักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับเพื่อนซี้เสมอ เช่น
จะต้องคอยบอกคนรักว่าชอบไม่ชอบ จึงคิดถึงเพื่อนซี้ว่า
ถ้าเป็นเพื่อนซี้ ไม่ต้องให้บอกว่า ไม่กิน ไม่ชอบ ไม่ไป ไม่เอา
การแยกจากเพื่อนซี้กลายเป็นความระทมขมขื่น
อันที่จริง การที่คนสองคนมีความเข้าใจกันอย่างถ่องแท้
แม้บนความเข้าใจนั้นจะอยู่บนพื้นฐานของความก้าวร้าวบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
คู่รักบางคู่โกรธกัน กล่าวคำหยาบคายยิ่งกว่าเพื่อนกับเพื่อน

คำว่า "เพื่อน" ต่างหาก ที่กางกั้น "ความรัก"
ความรู้สึกละอายใจเกินไป ไม่กล้าเอ่ยคำว่า "รักเธอ"
ความสนิทสนมมากเกินไป เกรงว่าจะได้รับเสียงหัวเราะแทนการตอบรับ
รู้สถานภาพของกันและกันมากเกินไป กลัวจะได้รับการดูแคลน
เล่นหัวกันจนหวั่นว่า จะไม่มีความซาบซึ้ง
ใกล้ชิดกันมากจนคิดว่า ไม่มีอารมณ์ทางเพศ
เหนือกว่าความหวาดกลัวทั้งหมด คือการกลัวความสูญเสีย

"สูญเสียความรักระหว่างเพื่อนกับเพื่อน"

บางรายเจ็บช้ำยิ่งกว่านั้น ถูกคนนอกวานให้เป็น พ่อสื่อ แม่สื่อ
และคนที่ถูกเสนอ มักเกิดความโกรธ น้อยใจ
ตัดสินใจรับรักประชดเพื่อนซี้
ต่างก็เจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แล้วคุณล่ะ เคยไม๊ที่ตกหลุมรักเพื่อน

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ยามเหงา

คำตอบของหัวใจ . . . ใช่คนที่รอหรือเปล่า 



เป็นเรื่องดีที่สุดที่จะรอคนที่คุณต้องการ
ดีกว่าตัดสินใจไปกับใครสักคนที่ว่างอยู่
เป็นเรื่องดีที่สุดที่จะรอคนที่คุณรัก
ดีกว่าตัดสินใจไปกับใครสักคนที่อยู่แถวนั้น
เป็นเรื่องดีที่สุดที่จะรอคนที่คุณคิดว่าใช่เลย
เพราะชีวิตช่างแสนสั้น สำหรับเวลาที่สิ้นเปลืองไป
. . . กับคนที่ไม่ใช่เลย . . .

คงจะดีถ้าได้เจอคนที่เขาจะรักคุณจริงในภายหลัง
เพราะมันย่อมดีกว่า การได้เจอคนที่เขาสัญญาว่าจะรักคุณ
. . . แต่ไม่ช้าเขาก็ไป . . .

อย่าพยายามแสร้งทำให้คนอื่นประทับใจ
เพื่อที่เขาหรือเธอจะได้มาหลงรักคุณ
เพราะถ้าทำแบบนั้น คุณจะถูกตั้งความหวังไว้ว่า
. . . มันจะต้องเป็นแบบนั้นตลอดไป

โชคชะตา . . . บอกถึง คนที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตเรา. . .
แต่หัวใจ . . . บอกถึง คนที่จะอยู่กับเรา ตลอดไป . . .

คุณกำลังมองข้ามสิ่งที่มีค่าที่สุดอยู่หรือเปล่า?

บางทีสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน . . .
เราก็คิดว่าเราก็ต้องเห็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป
ไม่เคยคิดว่าสิ่งนั้น สำคัญกับเรา . . .
มองไม่เห็นแม้แต่ค่าของๆ สิ่งนั้น

เหมือนกับการที่เราเห็นหน้าใครอยู่ทุกวัน
คนๆ นั้นวิ่งตามคอยใส่ใจเราอยู่ทุกวัน
เราก็มักจะดูว่าใครคนนั้น เป็นคนงี่เง่า น่ารำคาญ

จนวันนึงถ้าเราต้องสูญเสียใครคนนั้นไป
เราอาจจะรู้สึกเสียใจและเสียดาย
เราอาจจะต้องการเรียกร้องให้เค้ากลับมาเหมือนเดิม

หรือ บางทีเราก็อาจจะรู้สึกว่าดีใจที่เราได้มีชีวิตที่ปราศจากความน่ารำคาญ
แต่จะมีใครที่รู้สึกหรือ นึกถึง ความรู้สึกของคนที่เป็นฝ่ายให้บ้าง

บางทีสิ่งที่เค้าให้อาจไม่ได้ตั้งใจทำให้เรารำคาญ
แต่ที่เค้าทำไปเพราะ รักเราจริงๆ และ เป็นห่วงเราจริงๆ

เหมือนความรักของพ่อแม่ ความรักของเพื่อนสนิทที่เรามีอยู่
เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ให้เราด้วยความจริงใจ

เราเคยคิดบ้างไหมว่าเราดูแลความรู้สึกของเค้าดีพอหรือยัง?
เราให้ความสำคัญถูกคนหรือเปล่า?
เราให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุมากกว่าความรู้สึกหรือเปล่า?

สิ่งที่สำคัญมักมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ต้องมองด้วยหัวใจ
แต่เรามักจะไม่ใช้หัวใจมองคนที่ให้ความรู้สึกดีๆ ให้เรา
เรามักมองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสินด้วยสายตา
ซึ่งบางทีสิ่งที่เรามองข้ามไป อาจเป็นสิ่งที่ดีมี่สุดในชีวิตเราก็เป็นได้

วันนี้อยากให้พวกเราเรา ทั้งหลาย
จงหันกลับมามองคนที่อยู่ใกล้ ๆ . . . โดยใช้หัวใจมองบ้าง
แล้วเราก็จะรู้ว่าจริง ๆ แล้วสิ่งมีค่าที่สุดอยู่ใกล้ ๆ เรานี้เอง



วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เมื่อฉันแก่ตัวลง

อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน 




 

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง

ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก

จนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่ โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ

แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่... สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

พอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย...

แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ

สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม

“เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม
ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...”

“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง... ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย – โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”

“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมือง ต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”

แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป
มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้
ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง

ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ” แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที


ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง” ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที ....


เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด

ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง

ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย

ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม

ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม

ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน ฉันก็พอใจแล้ว

ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ

ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง ให้ความรักและอดทนต่อฉัน

ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ

 

ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ (ใจแข็งจริง ไอ้หมอนี่) ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป
1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้ รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว

หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ “เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตามล่า...หาความสุขในที่ทำงาน

เคยรู้สึกเช่นนี้บ้างไหม ตื่นเช้ามาไม่อยากไปทำงาน รู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย
เคยรู้สึกไหมว่า แต่ละวันในการทำงานมันช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน
เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้บ้างไหม คือชอบหาโอกาสลางาน หรือหลีกเลี่ยงงานอยู่เสมอ
ทั้งหมดนี้เป็นคำถาม หรืออาการแสดงเพื่อให้คุณเริ่มสำรวจตัวเองว่า คุณกำลังมีความสุข หรือมีความทุกข์กับการทำงานของคุณ



ความ สุขของคนเราขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย ความจริงข้อหนึ่งของความสุขก็คือ ความสุข ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของบุคคลมากพอๆ กับปัจจัยภายนอกที่มากระทบ ดังนั้นการ บริหารจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความสุขให้กับตัวคุณเองได้ เช่น การฝึกจิต จึงมีวิธี สร้างความสุขในการทำงานแบบง่ายๆ มาแนะนำ ดังนี้ค่ะ

“อย่า” คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อยอย่า เก็บทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด หรือนำมาเป็นอารมณ์ซะทุกเรื่อง ให้คิดว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากมัวแต่เสียเวลาคิดว่า วันนี้โดนหัวหน้าตำหนิว่าทำงานแย่มาก เพื่อนร่วมงานพูดจากระแนะกระแหน หรือพูดจาเสียดสีคุณ แม้คุณจะปฎิเสธไม่ได้ว่า พฤติกรรมของคนอื่นมีผลทำให้คุณมีความสุข หรือมีความทุกข์ได้ก็ตามค่ะ สิ่งเหล่านี้มี ผลกระทบทำให้คุณไม่มีเวลาคิดจะสร้างหรือพัฒนางานของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะคิดมากกว่า ดังนั้นคุณต้องฝึกให้ตัวเองใช้เวลาในแต่ละวันคิดถึงเป้าหมายและวิธีที่จะไป สู่เป้าหมาย ความคิดนี้จะส่งผลให้คุณมีความกระตือรือร้นในการทำงาน และสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลามากกว่าค่ะ

“อย่า” ต่อว่าองค์กร
องค์กร เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง คุณต้องใช้เวลาในชีวิตประจำวันของคุณอยู่ที่ทำงาน มากกว่าอยู่ที่บ้านของตัวเองเสียอีก หลายต่อหลายคนมักจะมีความรู้สึกว่า ทำงานเพื่อรอรับเงินเดือน และมักจะต่อว่าองค์กรในทางที่ไม่ดีเสมอ บ่นว่าเงินเดือนก็น้อย โบนัสก็ได้แค่นี้เอง สวัสดิการไม่เอาไหน และอื่นๆ อีกมากมาย คิดในมุมกลับไม่มีองค์กรไหนที่ไม่เห็นความสำคัญของตัวคุณ นอกจากองค์กร ที่คุณกำลังทำงานอยู่ เพราะเขายอมรับและให้โอกาสคุณเข้ามาร่วมงาน นั่นเพราะองค์กรเห็นศักยภาพ และความสามารถในตัวคุณ ซึ่งไม่เหมือนกับองค์กรอื่นที่ปฎิเสธและไม่ยอมรับคุณ หากคุณคิดได้เช่นนี้ ก็น่าจะทำให้คุณมีความรู้สึกดีๆ ต่อองค์กรแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดต้องรักหรือผูกพันก็ได้

“อย่า” เลือกทำงานที่รัก
ขอให้ “เลือกรักงานที่ทำ” เพื่อให้มีความสุขและสนุกกับงานที่กำลังทำอยู่ ลองพิจารณาคำถาม เหล่านี้ดูนะคะ
งานที่คุณกำลังทำคืออะไร
คุณได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานนั้น
คุณต้องปรับปรุงพัฒนางานอย่างไร
คุณต้องปรับปรุงความสามารถด้านใด
งานที่ทำอยู่มีอะไรนำไปใช้กับอนาคตของคุณ
ง่ายๆ ก็คือ คุณต้องมีเป้าหมายในการทำงานนั่นเอง หากตอบคำถามทั้ง 5 ข้อแล้วคุณจะค้นพบ “คุณค่า (value)” ที่เกิดขึ้นในตัวคุณ คุณค่านี้จะทำให้คุณมีความสุขกับการทำงาน ตื่นตัว กระตือรือร้น และอยากพัฒนาตนเองในทางที่ดีขึ้นตลอดเวลา

“อย่า”ให้ร้ายหัวหน้าใน ชีวิตการทำงาน คุณไม่สามารถเลือกทำงานกับหัวหน้าที่เป็นแบบฉบับที่คุณชอบได้หรอกค่ะ คุณอาจต้องนั่งกุมขมับทุกวัน เพราะเข้ากับหัวหน้าไม่ได้ หัวหน้าบางคนเจ้าอารมณ์ บางคนสั่งอย่างเดียว บางคนชอบให้ประจบ บางคนทั้งวันทำแต่งาน ไม่ให้พักผ่อนยืดหยุ่นบ้างเลย เนื่องจากเลือกหัวหน้า ไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือ ควรเข้าใจเหตุผลของการคิดและการกระทำของหัวหน้าคุณ เคารพและให้เกียรติ หัวหน้าคุณ คอยให้การสนับสนุนและช่วยเหลือหัวหน้าเท่าที่จะทำได้

“อย่า”ดูถูกเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างไม่ มีใครประสบความสำเร็จในการทำงานโดยลำพังได้ ทุกคนมีศักยภาพมีคุณค่าในตัวเขา อย่าดูถูกความคิดหรือความสามารถของคนอื่น ทุกคนมีความเด่น ด้อยแตกต่างกัน คุณสามารถทำงาน ของตนเองได้ดี แต่ไม่สามารถทำงานของคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นควรให้เกียรติเพื่อนร่วมงานหรือ คนรอบข้าง เพราะในความเป็นจริงแล้วมีปัจจัยอื่นๆ ที่ใช้วัดความสามารถของคน เช่น การควบคุม อารมณ์ และการปรับตัว สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือ ศึกษาและปรับตัวให้เข้ากับคนได้ทุกประเภททุกระดับ
จิตใจดี เป็นดั่งสวน ความคิดดีเป็นดั่งรากไม้คำพูดดีเป็นดั่งดอกไม้บานสะพรั่ง การกระทำดีเปรียบเสมือนผลไม้จิตใจดี คิดดี พูดดี และกระทำดี คือ พรอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ทุกคนมีความสุข ทำอย่างนี้แล้วคุณก็จะสามารถร้องเพลงนี้ได้ค่ะ “สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไมอย่ามัวอาลัยคิดร้อนใจไปเปล่า เกิดมาเป็นคน อดทนเถอะเรา............”

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ข้อคิดดีๆ ของการใช้ชีวิตคู่


 1. เป็นตัวของตัวเอง และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น อย่าพยายามเปลี่ยนคนรักของคุณให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น ขอให้รักในสิ่งที่คนรักของคุณเป็น ยังมีอีกหลายสิ่งอีกมากมายในตัวคนรักของคุณ ซึ่งมากกว่าสิ่งภายนอกที่ตาของคุณมองเห็น


          2. มีอะไรต้องพูดกัน สำหรับคุณผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดต้องเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบางทีคุณคิดว่ามันไร้สาระ ซึ่งต่างจากผู้หญิง อย่ามัวนั่งเดาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ให้เรียนรู้ที่จะพูดและแสดงออกว่าคุณรู้สึกอย่างไร เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คุณกำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร ทำไมคุณถึงอารมณ์ไม่ดี หรือแม้แต่วันนี้ที่คุณอารมณ์ดีเนี่ยเป็นเพราะอะไร เมื่อคุณไม่ต้องการหรือคุณหยุดที่จะถ่ายทอด บอกเล่าความรู้สึกของคุณให้กับอีกฝ่ายได้รับฟัง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของความรัก

          3. หากิจกรรมทำร่วมกัน ข้อนี้ง่ายมาก หากิจกรรมอะไรก็ตามที่ทั้งคู่สามารถทำด้วยกันแล้วมีความสุข กระทำร่วมกัน คุณอาจจะนั่งดูทีวี หรือไปเดินเล่นจูงมือกันในห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะตามแต่รสนิยมของคุณทั้งคู่ แล้วก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเรียกว่าเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน โดยคุณผู้หญิงนานๆ ที ก็ลองนั่งดูรายการฟุตบอลรายการโปรดของแฟนคุณเปลี่ยนบรรยากาศ
          ส่วนคุณผู้ชายก็อาจจะลองไปเดิน shopping เป็นเพื่อนแฟนคุณดูสักครั้งแทนที่จะไล่ให้แฟนคุณไปช๊อบปิ้งกับเพื่อนของเธอ อาจจะทำให้ทั้งคู่เข้าใจอารมณ์ของกันและกันมากยิ่งขึ้น การที่คุณใช้เวลากับเพื่อนของคุณมากกว่ากับแฟนของคุณ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของคุณกำลังสั่นคลอน

          4. พบกันคนละครึ่งทาง ถ้าหากแฟนหนุ่มของคุณกล้าที่จะโยนเสื้อตัวโปรด ขาดๆ เก่าๆ ที่คุณไม่ชอบของเขาทิ้ง คุณก็ไม่ควรจะโกรธถ้าเขาขอร้องให้คุณเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย ความสัมพันธ์ที่สมดุลและแนบแน่น ต้องประกอบไปด้วยการให้และการรับ เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะพบกันคนละครึ่งทาง

          5. แสดงความรักของคุณให้เขารู้ ลองซื้อดอกไม้ ขนม หรือน้ำหอม ให้กับคนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคุณจะคบกันมา 5 ปีแล้วก็ตาม มันจะทำให้คุณรู้สึกดีที่ได้แสดงความรักแก่คนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นการบริหารความสัมพันธ์ของคู่ของคุณ แม้ว่าจะคบกันมานาน หัดเอาใจใส่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่คุณรักและแสดงให้เขาเห็นว่า คุณใส่ใจอาจจะเป็นเรื่องอาการไม่สบาย ขนมที่เขาชอบ หรือสีโปรดของเขา สิ่งเหล่านี้เรารับรองว่าถ้าคุณลองทำ ความรักของคุณจะชุ่มชื่น จนใครๆ อิจฉา

          6. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน หยุดล้อเล่น และหัวเราะเยาะปมด้อย หรือข้อบกพร่องในตัวเขา หากเป็นสิ่งที่คุณเคยชินที่จะทำ ลองไตร่ตรองดูว่า เขาหรือเธออาจไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกด้วยก็ได้ ถ้าหากว่าเขามีปมด้อย ตรงความเตี้ยของเขา คุณก็ควรจะหยุดเปรยชมคนตัวสูงๆ ที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามารู้มั๊ยว่านั่น เป็นการทำลายความมั่นใจและความรู้สึกของเขาโดยตรง “ความรักเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และแคร์ความรู้สึกของกันและกันตลอดเวลา”

          7. ลืมความหลังเก่าเสีย หยุดพูดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะพูดถึงและนึกถึงเรื่องที่เศร้า หรือเรื่องผิดพลาดในอดีตของตัวเอง รู้จักให้อภัยและ เลิกขุดคุ้ยข้อผิดพลาดของกันและกัน ให้อดีตเป็นเพียงบทเรียน เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปัจจุบัน…

          8. เลิกนิสัยขี้อิจฉาของคุณ เราพนันได้เลยว่า ทุกคนมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงกันในช่วงต้นของความสัมพันธ์ แต่อย่าเปลี่ยนความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงมาเป็นความอิจฉา วิธีทดสอบว่าคุณเริ่มอิจฉาก็คือ คุณเริ่มที่จะตรวจสอบกระเป๋าสตางค์หรือของส่วนตัวของเขา นั่นแหละใช่เลย คุณกำลังระแวงเขาอยู่ ความอิจฉาหรือความขี้หึงก็เหมือนกับยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความรักและความสัมพันธ์ของคุณ ไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่คุณไม่รู้ตัว
จงเชื่อมั่นในตัวคนรักของคุณ ความรักจะต้องมีความเชื่อใจกันเป็นพื้นฐาน

          9. ฝึกเป็นคนรักษาคำพูด ถ้าคุณเป็นคนชอบผิดนัดและผิดสัญญา ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่อง หากคุณคิดว่าคุณจะมีคนรัก คุณก็ควรจะให้ความสำคัญแก่คนรักของคุณ และพยายามอย่าทำให้เขาผิดหวัง ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่สุดวิสัยจริงๆ เพราะมันจะทำให้เขารู้สึกแย่เมื่อคนรักของคุณต้องรอคุณทานข้าว แล้วคุณไม่มา ถ้าหากคุณไม่สามารถทำตามสัญญา ก็อย่าสัญญา เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่คนรักของคุณ เริ่มที่จะรู้สึกว่า เขาไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังจะสูญเสียเขาคนนั้นไปในไม่ช้า….
          10. จงซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของคุณเอง และคนรักของคุณ ความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก หมายถึง คือการอธิบายความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมาแก่คนรัก อย่าปิดบังความรู้สึก ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด หรือโกรธเคือง จงบอกเขาอย่างไม่ต้องอาย…ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ก็เป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ที่ไม่มีคุณค่าอะไร… เพียงพอที่จะเสียดาย…

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หลังแต่งงาน . . . ไม่หวานเหมือนเคย?

สมัยยังเป็นแฟนกัน ชี้นกแล้วบอกว่าไม้ ก็เชื่อ ประมาณว่า เธอว่าไงฉันก็ว่าตาม แต่หลังจากแต่งงานกันแล้ว ที่เคยชี้นกแล้วเป็นไม้ นอกจากไม่เป็นเหมือนเคยแล้วอาจถูกเหมารวมว่าไร้สาระ คิดได้ไง อะไรประมาณนั้น….มันเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ใครกันแน่ที่เปลี่ยนไป




        สถานการณ์ชีวิตคู่อย่างนี้ ต้องให้ น.พ.สุกมล วิภาวีพลกุล จิตแพทย์และคอลัมนิสต์สำนวนพริ้ว มาช่วยแจกแจงวิเคราะห์เหตุและผลผ่านประสบการณ์อันช่ำชอง (แต่ได้รับการยืนยันว่ารักเดียวใจเดียว มีภรรยาเพียงหนึ่งเท่านั้นจ้ะ)

จูงมือกันอยู่ดีๆ แต่งไปไม่นานแค่เดินยังไม่อยากเข้าใกล้ รึจะใช่สัญญาณ

        ห่างเหิน…ไม่จำเป็นเสมอไป หรอกครับ เพราะปกติผู้ชายเดินเร็วก้าวเท้าเร็ว ผู้หญิงมักเดินอ้อยอิ่ง ตอนสมัยเป็นแฟนกัน มันก็ยังรอกันได้ แต่พอแต่งงานกันไปแล้ว การเอาอกเอาใจ ความเกรงใจมันก็น้อยลง นอกเหนือจากการเดินห่างกันแล้ว ต้องดูพฤติกรรมอื่นๆ ของสามีด้วยว่าเขายังเอาใจใส่และเทคแคร์ความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่หรือเปล่า

  ก็ทำอย่างนี้น่ะสิ…เธอถึงบ่น เขาถึงบ่น เราทั้งสองจึงต่างบ่น

        จริงๆ มันก็ไอ้พฤติกรรมเดิมๆ ที่เป็นมาตั้งแต่ยังเป็นโสดนั่นแหละครับ แต่ที่ต้องบ่น เพราะ 2 สาเหตุ คือ

        1. ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะตอนเป็นแฟนกันมันปิดบังมาตลอด หรือสร้างภาพให้ดูดี เพิ่งมารู้ธาตุแท้หรือตัวตนที่แท้จริงหลังจากเป็นสามีภรรยากันแล้วนี่แหละ เช่น กินมูมมาม ผายลมอย่างเปิดเผยและสง่างาม เรอแบบไม่เกรงใจใคร หรือพฤติกรรมบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว เช่น นอนกรน เป็นต้น

        2. รู้มาตั้งแต่เป็นแฟนกันแล้ว แต่พอแต่งงานแล้ว มันมีความคาดหวังมากขึ้นว่าเธอจะต้องเปลี่ยนแปลง แต่เขาก็ยังเหมือนเดิม เช่น ชอบเที่ยวเตร่กับเพื่อนฝูง กินเหล้า สูบบุหรี่ บ้าช้อปปิ้ง ขี้เหนียว หมกมุ่นเรื่องทางเพศ ฯลฯ

        ตอนเป็นแฟนกันนะ คนทั้งสองยังมีความอดทนต่อกันอยู่ แต่หลังจากนั้นเราจะทนกันน้อยลงและอยากให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงและดูดีในแบบ ที่เราต้องการ…นี่แหละที่มาของคำบ่น

  ยิ่งบ่นก็ยิ่งทำ นานวันเข้ารอยร้าวจะมาเยือน

        การกระทำเหล่านั้นจะส่งให้ เกิดรอยร้าวขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือความอดทนและการปรับตัว คือถ้าฝ่ายหนึ่งรู้ว่าพฤติกรรมของเราเขาไม่ชอบ ก็ลด ละ เลิก…อย่างนี้อีกฝ่ายเขาก็สบายใจหายห่วง

        แต่ถ้าฝ่ายนั้นเขาไม่เปลี่ยนแปลง ก็ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้นหรือปล่อยวางของอีกฝ่าย ภาษาไทยมักใช้คำว่า “ทำใจ” ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันเฝือ แต่มีความหมายลึกซึ้ง คือแปลว่า การอยู่กับสิ่งที่ตัวเราไม่ชอบ ด้วยสภาพจิตที่ไม่เป็นทุกข์ ภาษาธรรมะเรียกว่าอุเบกขา ภาษาชาวบ้านเรียกง่ายๆ ว่าปล่อยวาง

        ถ้ามีสองปัจจัยนี้ ถึงกระทบแต่ก็ไม่กระเทือน ก็อยู่กันได้อย่างไม่ทุกข์ใจมากนัก ไม่ต้องถึงกับเลิกร้างแยกทางกัน

  แบบนี้สิ มากกว่าความห่างเหิน ยิ่งกว่าความห่างไกล เพราะมันกำลังเปลี่ยนไป

        เฉยเมย ไม่สนใจกัน ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ ผู้หญิงเริ่มเห็นว่าผัวคนอื่นดีกว่าผัวตัวเอง และผู้ชายก็รู้สึกว่าเมียเพื่อนสวยกว่าเมียเรา . . . เริ่มเกิดความคิดว่าเราคิดผิดที่มาอยู่กินกับคนๆ นี้ หากปล่อยให้เกิดจุดเริ่มต้นนี้ได้ ขั้นตอนถัดไป ก็คือเริ่มมองหาคนอื่นที่ดีกว่าคู่เดิมที่มีอยู่ . . . ตอนแรกก็แค่คิดในใจ ตอนหลังคิดนอกใจ จากมโนกรรมก็กลายเป็นวจีกรรมและกายกรรมในที่สุด

เราคิดมากไป หรือ เขาเปลี่ยนไปจริงๆ วัดจากอะไร

        การที่มีเรื่องนิดเดียวแต่ ฟุ้งซ่านเยอะแยะ เพราะมันมีประสบการณ์เดิมๆ สะสมในใจ เหตุการณ์เล็กน้อยก็อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่การมีปากเสียงกันได้

        ถ้าสังเกตตัวเองแล้วเจอว่า เราเป็นคนที่เจอเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่โมโหโกรธาใหญ่โต . . . อย่างนี้แปลว่าเรามีแผลใจ แล้วคำพูดหรือการกระทำนั้นๆ มันไปสะกิดโดนแผลใจ ทำให้เจ็บเยอะหรือเจ็บนาน

เล็กๆ น้อยๆ คลี่คลายสถานการณ์ห่างเหิน

        1. อย่าถกเถียงกันเวลาโกรธ เพราะผู้หญิงบางคนมักใช้คำพูดว่า “มาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้” ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าเราคุยกันตอนกำลังยัวะ มันจะเป็นการเอาชนะกัน ไม่นำไปสู่การคลี่คลาย…หน้าที่ของแต่ละคนตอนโกรธ คือต้องจัดการกับการโกรธนั้นให้สงบเสียก่อน ตอนนี้เราจึงจะคุยกันอย่างรับฟังกันมากขึ้น

        2. เรียกกันด้วยสรรพนามหวานๆ เช่นชื่อเล่น หรือ ฉัน/เธอ ดีที่สุดคือ “ที่รัก/Darling” ไม่ควรเรียกกันว่า “ข้า/เอ็ง” หรือไอ้ที่หยาบกว่านั้น…เพราะถึงเวลาทะเลาะกัน คำหยาบมันหมดสต็อก และจะดูยิ่งรุนแรงด้วยน้ำเสียงและหน้าตาท่าทาง เรื่องราวอาจบานปลายไปกันใหญ่

        ไม่ มีใครกำหนดว่าการฮันนีมูนทำได้ครั้งเดียวหลังแต่งงาน เราสามารถดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ได้ปีละครั้ง …การฮันนีมูนแต่ละครั้งนี่เปรียบเสมือนการกระตุ้นยอดขายให้กับสินค้าชิ้น เดิมๆ แต่ละเดือนก็จัด Midnight Sale ลดแลกแจกแถม พยายามจัดโปรโมชั่นเป็นระยะๆ