วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

การตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผิวขาว


 
          ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความสำคัญของสีผิวและปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดสี ผิวข้างต้น จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าจำเป็นที่จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้หรือ ไม่ ถ้าคิดจะใช้ ก็ต้องทราบถึงข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์ โดยอาจพิจารณาจากเกณฑ์ต่อไปนี้

       1. เข้าใจถึงธรรมชาติของสีผิวของตนเองว่าเป็นอย่างไร เช่น ถ้าเป็นคนผิวคล้ำแต่กำเนิด จะให้คาดหวังว่าใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้แล้วจะขาวเป็นหมวยคงเป็นไปไม่ได้ วัตถุประสงค์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ผิวขาว จะเพียงเพื่อไปช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับคืนมาให้มีสีผิวตามธรรมชาติดั้งเดิม เท่านั้น

       2. ไม่มีสารใดที่ทำให้ผิวขาวถาวร พอ หยุดใช้ ผิวหนังก็จะกลับคืนสู่สภาพสีผิวเดิม สารที่สามารถทำให้ผิวขาวอย่างถาวรได้ แสดงว่าสารนั้นออกฤทธิ์โดยทำอันตรายต่อผิวหนังอย่างรุนแรง เช่นทำลายเซลล์สร้างสีผิว ซึ่งจะก่อให้เกิดผลร้ายตามมาอย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น สารกลุ่มไฮโดรควิโนน จะทำให้เกิดฝ้าหรือรอยด่างขาวถาวร และก่อให้เกิดอาการแพ้แสงได้ง่าย เป็นต้น

       3. ผิวที่ขาวขึ้น จะไม่ได้ขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว ดัง นั้นการใช้ จะต้องทาติดต่อกันนาน หลายสัปดาห์ โดยจะค่อยๆขาวขึ้นที่ละน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความไวของการตอบสนองต่อสารทำให้ผิวขาวในผู้ใช้แต่ละคน ด้วย

       4. การใช้ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาว ต้องร่วมกับการป้องกันตนเองให้พ้นจากแสงแดดด้วย เนื่อง จากรังสียูวีในแสงแดด เป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินให้มากขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดให้มากที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 9 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมงซึ่งมีความเข้มของรังสียูวีบี ที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังอยู่สูง ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด เช่นเสื้อแขนยาว สวมหมวก หรือกางร่ม รวมถึงป้องกันผิวด้วยการทาโลชั่นกันแสงแดด ซึ่งในผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวส่วนใหญ่จะใส่สารช่วยกรองรังสียูวีเอาไว้ด้วย เป็นการป้องกันร่วมกับการใช้สารช่วยลดการสร้างสีผิว

        โดยสรุปแล้ว จะเห็นได้ว่า การปกป้องผิวให้พ้นจากแสงแดด จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย และประหยัดที่สุด ในการรักษาสภาพผิวไม่ให้เข้มขึ้น ซึ่งยังช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้าเกิดฝ้า หรืออักเสบจากการถูกแดดเผาอีกด้วย แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ ก็ควรป้องกันผิวโดยการทาด้วยโลชั่นกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ถ้ามีการใช้สารช่วยให้ผิวขาวร่วมด้วย ควรมุ่งหวังผลเพียงฟื้นฟูสภาพสีผิวของเราให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ก็ถือว่าได้ผลดีที่สุดแล้ว

         นอก จากนี้สูตรตำรับช่วยให้ผิวขาวที่ผสมสารมากชนิดและมีราคาแพง ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าประสิทธิภาพจะดีกว่าตำรับที่มีราคาถูกกว่าเสมอไป หลักการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาว ก็จะเหมือนกับหลักการเลือกใช้เครื่องสำอางทั่วๆไป คือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตัวเรารู้สึกว่าใช้แล้วดี คือไม่แพ้ ไม่มีอาการระคายเคือง และราคาไม่แพง ที่สำคัญคือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรผสมสารป้องกันแสงแดดร่วมด้วย ดังนั้น ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสีผิวและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยว ข้อง ก็จะทำให้มีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง ไม่หลงเป็นเหยื่อของการโฆษณาและการสร้างค่านิยมเรื่องต้องผิวขาวเท่านั้นถึง จะสวยหรือดูดี

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

เหงื่อ...ความหมาย...สุขภาพ

เหงื่อ...ความหมาย

- ที่มาของเหงื่อ

เคยสังเกตไหมว่าความร้อนและเหงื่อมักจะมาคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นยามอากาศร้อน ขณะที่เรากำลังใช้แรงงานกล้ามเนื้ออย่างหนักหรือตื่นเต้นหวาดกลัวจนเส้นประสาทถูกกระตุ้นมากๆ จนเหงื่อผุดพราว ซึ่งที่จริงแล้วคือทางออกที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาช่วย เพื่อบรรเทาความร้อน และสร้างความเย็นขึ้นมาทดแทน เพื่อเป็นการปรับสมดุลให้ร่างกายของเราและที่เกิดความเย็นได้ ก็เพราะในเหงื่อนั้นประกอบด้วยน้ำเป็นหลักนั่นเอง และแร่ธาตุรองลงมาก็คือคอลไรด์และโพแทสเซียม 

- กลิ่นเหงื่อ

เหงื่อออกเป็นหนึ่งในกลไกตอบโต้ทางธรรมชาติของร่างกายที่หลายคนคงอยากให้เกิดน้อยที่สุด เพราะนอกจากจะทำให้เหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัวแล้วกลิ่นที่ตามมาก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์สักเท่าไร แถมเหงื่อของบางคนยังมีกลิ่นแรงเป็นพิเศษเสียด้วย ชนิดที่ทำให้คนรอบตัวที่ไม่คุ้นเคยต้องรีบอุดจมูกแล้วเดินหนี ความจริงแล้วเหงื่อของคนเรานั้นไม่มีกลิ่นเลย แต่เมื่อผสมกันเข้ากับแบคทีเรียบนผิวหนังเส้นขนรวมทั้งกรดไขมันจากอาหารที่เรากินเข้าไปจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมาได้
ต่อม เหงื่อของเรานั้นมีสองประเภทหากเป็นเหงื่อที่ออกทั่วร่างกายโดยเฉพาะบริเวณ หน้าผาก ฝ่ามือ และฝ่าเท้านั้นจะมาจากต่อมที่เรียกว่า Eccrine ซึ่งเริ่มผลิตเหงื่อตั้งแต่เรายังเป็นเด็กแรกเกิดเลยทีเดียว จึงมักไม่ค่อยจะมีกลิ่นรุนแรงเท่าเหงื่อที่มาจากต่อม Apocrine ที่อยู่ตรงบริเวณรักแร้และซอกขาใกล้ทวารหนักและอวัยวะเพศ ซึ่ง จะเริ่มทำงานเมื่ออย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์และหากส่องดูกันอย่างใกล้ชิด แล้วจะเห็นได้ว่า มีทั้งกรดไขมันและโปรตีนผสมอยู่ ซึ่งทำให้เหงื่อที่ออกมาเป็นสีเหลืองขุ่นเล็ก น้อยและมักเห็นเป็นคราบบนเสื้อผ้าได้ง่าย นี่เองจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมบรรดาผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและกลิ่นกายต่างๆ จึงได้พุ่งเป้าหมายการกำจัดกลิ่นไปที่บริเวณรักแร้กันเป็นพิเศษ

- เหงื่อผิดปกติ

เหงื่อ ความหมาย

- ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหงือ รู้ไหมว่า...

เหงื่อ ความหมาย






วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการดูแล...เมื่อส้นเท้าแตก


เท้า และส้นเท้าเป็นอวัยวะที่ถูกใช้งานทั้งวัน อีกทั้งผิวส่วนนี้ไม่ค่อยมีไขมันมาเคลือบ จึงมักแห้งแตกเป็นร่องได้ และอาจเจ็บจนเดินไม่ถนัด ถ้ามีบาดแผล เชื้อโรคก็เข้าสู่ร่างกายได้ ไม่อยากให้ปัญหานี้เกิดขึ้น ต้องดูแลให้ดีค่ะ

สิ่งที่ควรทำ

* เท้าแตกเกิดจากการใส่ รองเท้าเปิดส้นนานๆ ด้วย เช่น รองเท้าแตะคีบ รองเท้าฟองน้ำ รองเท้าสาน ดังนั้นหันมาใส่รองเท้าหุ้มส้น โดยเลือกรองเท้าที่บุพื้นภายในที่นุ่ม สวมใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าลำลองใส่ในบ้านบ้างค่ะ
* แช่เท้าในน้ำสบู่ 10-15 ให้ผิวที่แห้ง แตก หยาบกร้านนิ่มลง แล้วใช้หินขัดถูส้นเท้าสัปดาห์ละครั้ง
* หลังอาบน้ำใช้ครีมนวดทาส้นเท้าให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนผิวชุ่มชื้น
* รักษาส้นเท้าแตก ด้วยสูตรธรรมชาติมากมายหลายสูตร เช่น...

+ ทาด้วยน้ำมะนาวผสมดินสอพองหรือ ยางมะละกอ หรือถูด้วยสารส้มกับน้ำชุบสำลี หรือทายางต้นรัก หรือถูด้วยเปลือกกล้วยหอมก็ได้
+ แช่เท้าในน้ำสบู่ แล้วใช้วาสลีน 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1 ลูกถูส้นเท้า หรือบดสตรอเบอร์รี่ เติมน้ำมันมะกอกกับเกลือ นวดส้นเท้า หรือผ่าส้มเป็นแว่น 2 ผล น้ำมันพืช 1 ถ้วย เกลือทะเล 1 ถ้วย นำน้ำมันพืชผสมกับเกลือ จุ่มส้มลงไป แล้วนำมาขัดส้นเท้า
+ ต้ม นมเติมน้ำมะนาวกับกลีเซอรีน พอเย็นใช้ทาส้นเท้าก่อนนอน ใส่ถุงเท้าฝ้ายทับเพื่อลดอาการแตก จะบดกล้วยหอมสุกหรือหัวหอมใหญ่ให้ละเอียดก็ได้ แล้วทาส้นเท้าแตก ใช้ผ้าพัน ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างน้ำออกค่ะ


สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

*
ไม่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไปจนอ้วน เพราะจะทำให้ส้นเท้ารับน้ำหนักมากจนส้นเท้าแตก
*
ไม่ปล่อยให้ผิวแห้ง  เพราะมีแนวโน้มที่จะทำให้ส้นเท้าแตกได้ง่าย
*
หลีกเลี่ยงการสวมใส่รองเท้าส้นเปิด ถ้าต้องเดินบนพื้นเย็นๆ เป็นประจำ
*
หลีกเลี่ยงการเดินด้วยเท้าเปล่า โดยไม่สวมรองเท้าเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณส้นเท้าเริ่มขาดความยืดหยุ่น ผิวจะเริ่มหนาแล้วแข็งขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดผิวหนังส่วนนี้แห้งและแตก
*
หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเย็นมาก ทำให้ผิวแห้งง่าย เช่น ทำงานในห้องแอร์ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้ทาครีมที่เท้าและส้นเท้าด้วย
*
หลีกเลี่ยงการปล่อยให้เท้าสัมผัสน้ำบ่อยๆ หรือแช่น้ำนานๆ
*
หลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานานๆ บนพื้นเข็งๆ เช่น พื้นปูนซีเมนต์ โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักตัวมาก เพราะจะทำให้ส้นเท้าแตกง่ายด้วย

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต

          นอกจากเราจะได้ความภูมิใจที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นโดยทางอ้อมแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคเลือด
ยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย เลือดประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง)
และเม็ดเลือด คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คือ 5-6 ลิตรสำหรับผู้ชาย และ 4-5 ลิตรสำหรับผู้หญิง
หรือประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด 3 ชนิด อันได้แก่
เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย
เม็ดเลือดแต่ละชนิดจะมีอายุการทำงานที่ชัดเจนคือ เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน
เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดมีอายุ 5-10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เม็ดเลือดจะถูกทำลาย
และขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูกจึงสร้างเซลล์เม็ดเลือด
ชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมด ปริมาณเลือดที่มีในร่างกายเป็นปริมาณที่ถูกสร้างขึ้นมา
ให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายต้องการใช้เพียง 15-16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนเลือดอีก
2-3 แก้วน้ำเป็นปริมาณสำรองเพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นการบริจาคเลือดซึ่งนำเลือดออกมา
ประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำเลือดสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกาย
เพราะไขกระดูกจะสร้างเลือดขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป ทำให้เกิดประโยชน์โดยทางอ้อมคือ
• ร่างกายได้เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจน
  ได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่าง
   มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
• กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น
• ได้ตรวจสุขภาพทางอ้อม เพราะเมื่อมีการได้รับเลือดแล้ว ทางสภากาชาดจะต้องตรวจความสมบูรณ์ของเลือด
   ตรวจหาภาวะติดเชื้อต่างๆ เท่ากับผู้บริจาคได้รู้ภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้นด้วย
• ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยง
   โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็ก
   ที่สะสมในร่างกาย หากมีสะสมมาก โอกาสเสี่ยงย่อมสูง เนื่องจากธาตุเหล็กส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยาออกซิเจน
   จนหลอดเลือดตีบและกลายเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การบริจาคเลือดจึงช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์
    สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง การบริจาคเลือดทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาส
   ที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง


วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

แก้ปัญหา...หน้ามันเยิ้ม


ปัญหาหน้ามัน เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม

*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*

เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง

*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*

รู ขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง

*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*

1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก

2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมี หน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น
ส่วนยารับ ประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น

สารอาหารที่ควรกิน...ถ้าคุณไม่ออกกำลังกาย


หากคุณเป็นคนที่เพื่อนๆพากันขนานนามว่า คุณเป็นพวก Couch Potato ที่วันๆไม่ทำอะไร เอาแต่นอนอืดดูทีวีอยู่กับบ้าน เผลอๆก็เอาสแน็คที่หาคุณค่าทางอาหารไม่ได้เลย มาเคี้ยวกรุบๆทั้งวัน


 รู้หรือไม่ว่าบัดนี้คุณอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเสี่ยงสำหรับพวก โรคอ้วนเกินพิกัด หรือพวกโรคทางหัวใจและหลอดเลือดก็ได้ ในความเป็นจริงผู้ที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว อาจนับรวมถึงผู้ที่นอนป่วยนานๆหรือเพิ่งจะฟื้นไข้ หรือคนจำพวกหนอนหนังสือที่วันๆทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากอ่านและอ่านเท่านั้น

เรามีสูตรวิตามินเจ๋งๆ 5 ชนิดที่ออกแบบมาเพื่อที่จะช่วยคุณๆที่เข้าข่ายดังกล่าว เริ่มจาก

1. Omega-3 Fatty Acids
พบมากในน้ำมันปลาและน้ำมันเมล็ดลินิน (Flax seed ) ซึ่งจะให้สัดส่วนของกรดไขมันชนิด EPA สูง โดยปริมาณ EPA ที่แนะนำ / วันควรอยู่ในช่วง 250-3,000 mg. และควรระวังซักนิดหากคุณต้องทานยาต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดอยู่ก่อน ข้อดีสำหรับ Omega-3 คือ การปรับปรุงระบบการทำงานของหลอดเลือดและหัวใจ ระบบประสาท การสืบพันธุ์ และภูมิต้านทานร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางเภสัชวิทยาในการเป็น สารต้านการ clot ของเลือด ช่วยลดระดับไขมันในเลือด สารต้านอักเสบ บำรุงสุขภาพผมผิวและเล็บ และจุดเด่นสำคัญคือการช่วยนำส่ง Oxygen ไปยังเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย ซึ่งสัมพันธ์กับการลดอาการเบื่อและขี้เกียจได้

2. Bioflavonoid
ขนาดรับประทาน 50-300 mg./ วัน ร่วมกับการทานวิตามิน C 500-3,000 mg./ วันจะให้ผลในเรื่องความ แข็งแรงของผนังหลอดเลือดฝอย ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือดจากการนั่งนานๆ

3. Garlic
ซึ่งจะให้สารสำคัญที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของกระเทียมที่ชื่อ Allicin โดยขนาดที่แนะนำควรอยู่ระหว่าง 600-5,000 mcg./ วัน ซึ่งจะให้ประโยชน์ในแง่ของการลดการเกาะตัวของเลือด ลดความดันเลือด ลดระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด ต้านการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส และควรระวังซักนิดหากคุณต้องทานยาต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดอยู่ก่อนแล้ว

4. Folic Acid
ขนาดรับประทาน 400-1,000 mcg./ วัน ( หากเป็นสตรีตั้งครรภ์ควรได้รับ 600 mcg. และ 500 mcg. ใน สตรีให้นมบุตร ) ข้อดีของกรดโฟลิก คือการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยปรับความผิดปกติทางอารมณ์ที่ไม่รุนแรงนัก ความรู้สึกซึมเศร้า เบื่อหน่ายซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากการขาดการออกกำลังกาย นอกจากนี้หากรับประทานกรดโฟลิกขนาดสูงนานๆ ควรได้รับวิตามิน B12 เพิ่มเติมเนื่องจากกรดโฟลิกสามารถบดบังภาวะการขาด B 12 ในบางรายได้

5. Chromium
ขนาด 50-200 mcg./ วัน ในรูป Chromium Picolinate ซึ่งเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดในแง่การดูดซึมและให้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะให้ฤทธิ์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปรับปรุงระบบเมตาบอลิซึม ทำให้สามารถลดการอยากอาหารในผู้ที่ชอบทานขนมจุบจิบได้ นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบอินซูลินในร่างกายได้

นอกจากนี้คุณควรจะให้ความสนใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วย โดยอาจจะมีการออกกำลังกายทดแทนบ้าง หรือหางานอดิเรกที่ชื่นชอบ สิ่งเหล่านี้น่าจะมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยน Life style ของคุณที่น่าเบื่อและไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย มาเป็นนักกิจกรรมตัวยงที่มีสุขภาพดีคนหนึ่งเลยทีเดียว 

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

ลดความอ้วนด้วยสีอาหาร






การ นับแคลอรีอาจเป็นวิธีการลดน้ำหนักหลายคนนิยมใช้ แต่การนับแคลอรีอย่างเข้มงวด ก็ไม่ง่ายนักทั้งยังทำให้เกิดความเครียดด้วย จนอาจทำให้คุณถอดใจจากการลดน้ำหนักก่อนจะประสบผลสำเร็จ ผู้เชี่ยวชาญจึงได้แนะนำวิธีใหม่ ๆ ที่จะทำให้คุณสามารถควบคุมแคลอรีได้อย่างง่าย ๆ และยังได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนและสมดุลอีกด้วย นั่นก็คือ หันมานับจำนวนของสีสันจากอาหารที่จะเติมลงในจานอาหารของคุณแทน

        สีสัน ไม่เพียงแต่จะทำให้อารมณ์คุณแจ่มใสขึ้นเท่านั้น แต่สีสันอันหลากหลายจากอาหารยังทำให้การกินของคุณสดใสขึ้นด้วย เนื่องจากอาหารที่มีสีสันอันหลากหลาย มักเป็นอาหารผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารอาหาร และสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลแก่สุขภาพและยังช่วยต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ รวมทั้งโรคมะเร็งได้ด้วย นอกจากประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว การเลือกกินอาหารตามสีสันยังมีผลโดยตรงต่อการลดน้ำหนักด้วย เพราะอาหารผักและผลไม้เป็นอาหารที่มีแคลอรีต่ำอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เมื่อคุณเน้นการบริโภคอาหารหลากสีสัน คุณจึงควบคุมแคลอรีที่บริโภคเข้าไปในตัวโดยไม่ต้องมานั่งนับจำนวนแคลอรีอีก ต่อไป

          กฎสำคัญ คือ กิน อาหารที่มีสีเบจและสีน้ำตาลให้น้อย ๆ อาหารในกลุ่มนี้ได้แก่ ขนมปัง พาสต้า เมล็ดถั่ว อาหารจากแป้งทั้งหลาย ถ้าเติมสิ่งเหล่านี้ลงในจานมากเกินไป ก็จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะอาหารเหล่านี้มักมีแคลอรี สูง และทำให้หิวได้ เช่น พาสต้าถ้วยหนึ่งมี 200 แคลอรี ขณะที่ผักสีแดงหรือสีเขียวหนึ่งถ้วย มีแคลอรีไม่ถึงหนึ่งร้อย

        จากหนังสือเรื่อง What Color is Your Diet? ของนพ.เดวิด เฮเบอร์ พบว่า หัวใจสำคัญในการบริโภคอาหารหลากสีสันก็คือ เลือกอาหารจากแต่ละกลุ่มที่ต่างกัน 

     กลุ่มสีเขียวเข้ม เช่น บร็อกโคลี กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง จะช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ ในการผลิตแอนไซม์ช่วยสลายสารเคมีที่ทำให้เกิดมะเร็งในร่างกาย 

     กลุ่มสีเหลือง/เขียว เช่น พืชตระฉันลถั่วสีเขียว (ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา) อะโวคาโด แตงเมลอนสีเขียว จะช่วยรักษาสุขภาพตา 

      กลุ่มสีเหลือง/ส้ม เช่น แครอท มะม่วง แอปริคอต ฟักทอง มีแคโรตินอยด์ ที่ช่วยป้องกันมะเร็งและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวาย 

     กลุ่มสีขาว เช่น กล้วย กะหล่ำดอก กระเทียม ขิง เห็ด มีประโยชน์อย่างมากในการรักษาสุขภาพหัวใจ 

     กลุ่มสีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม เป็นอาหารที่อุดมด้วยไลโคปีน ซึ่งช่วยในการลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และโรคหลอดเลือดหัวใจ 

     กลุ่มสีแดง/ม่วง เช่น องุ่น ลูกพรุน แครนเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ และแอปเปิ้ลแดง จะมีแอนโธไซอานินส์ ที่มีผลดีต่อโรคหัวใจด้วยการหยุดยั้งการเกิดลิ่มเลือด 

     กลุ่มสีม่วง/น้ำเงิน เช่น บลูเบอร์รี่ มะเขือม่วง ลูกพลัม ลูกเกด มีสารเคมีที่ดีต่อสุขภาพ เช่นแอนโธไซอานินส์ (Anthocyanins) และฟีโนลิกส์ (Phenolics) ช่วยทำให้ความทรงจำดีขึ้น


        ฉะนั้น เติมสีเขียว สีแดง และสีเหลืองอันแสนสดใสให้แก่มื้ออาหารของคุณ คุณจะทำให้ตัวเองได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น ขณะที่แคลอรีลดต่ำลง ยิ่งไปกว่านั้นคุณจะรื่นรมย์มากขึ้นจากการกิน เมื่อมีสีสันและรสชาติที่หลากหลายอยู่บนจานของคุณ

อาการปวดหลัง..ไม่ใช่แค่เหตุบังเอิญ






โครงสร้างของกระดูกสันหลัง 
    กระดูก สันหลังคือกระดูกส่วนที่อยู่ถัดจากกะโหลกศรีษะลงไป โดยเริ่มตั้งแต่กระดูกท้ายทอยไปจนถึงกระดูกก้นกบ ซึ่งประกอบ  ไปด้วยกระดูกกว่า 30 ชิ้น วางเรียงซ้อนๆกัน ระหว่างกระดูกแต่ละชิ้นจะมีหมอนรองกระดูกไว้คอยรองรับ เพื่อไม่ให้กระดูกแต่ละชิ้นเสียดสีกันในขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหว นอกจากนี้ก็จะมีเส้นเอ็นที่เปรียบเสมือนเป็นเชือกร้อยยึดกระดูกสันหลังและ หมอนรองกระดูกเหล่านี้ไว้ให้ติดกัน
    ภายในแกนกลางของกระดูกสันหลังจะ เป็นที่อยู่ของไขสันหลังซึ่งเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือด และนอกจานี้ยังเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทซึ่งเชื่อมต่อระหว่างสมองกับอวัยวะ ส่วนต่างๆทั่วร่างกาย

อาการปวดหลัง อาจเป็นเรื่องใหญ่
    เนื่อง จากกระดูกสันหลังมีความสำคัญและยังมีส่วนเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับอวัยวะส่วน ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบประสาท ฉะนั้นเมื่อเกิดอาการปวดหลังขึ้น โดยอาจจะทราบหรือไม่ทราบสาเหตุก็ตาม หากอาการปวดนั้นเป็นมากและมีทีท่าว่าจะเรื้อรังหรือมีอาการปวดร่วมกับอาการ อย่างอื่นด้วย ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ทั้งนี้เพราะอาการปวดดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติบางอย่างที่ อยู่เหนือความคาดหมายก็เป็นได้

ลักษณะของอาการปวดที่จำเป็นต้องรีบเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ได้แก่

1. อาการปวดหลังร่วมกับแขนขาชาไม่มีแรง กลั้น ปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ ซึ่งลักษณะอาการดังกล่าวเป็นไปได้ว่าไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ทางที่ดีควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพื่อทำการเอ็กซเรย์ตรวจดูกระดูกสันหลังและหาตำแหน่งที่บาดเจ็บ ผู้ป่วยบางรายเพียงให้นอนพักรักษาตัวก็อาจหายจากอาการดังกล่าวได้ แต่บางรายอาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด

2. ปวดหลังบริเวณเอวและมีไข้หนาวสั่น สาเหตุของอาการอาจเกิดจากการติดเชื้ออักเสบของไต เมื่อรักษาไตจนเป็นปกติดีแล้ว อาการปวดดังกล่าวก็จะหายไป

3. ปวดหลังจากยกของหนัก หรือออกกำลังกายมากเกินไป จน รู้สึกว่าหลังขยับไม่ได้ หรือปวดร้าวไปจนถึงขาข้างใดข้างหนึ่ง อาจเกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนเคล็ดไปกดทับเส้นประสาท การรักษาจะต้องให้ผู้ป่วยสวมเสื้อดามหลัง และให้เข้ารับการทำกายภาพบำบัด ส่วนในรายที่อาการหนักมากอาจต้องผ่าตัด

4. ปวดหลังเรื้อรังนานเป็นแรมเดือน และ ปวดมากขึ้นเรื่อยๆหากเป็นในคนอ้วน หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปี อาจเกิดขึ้นเนื่องจากโรคไขข้ออักเสบ หรือกระดูกสันหลังสึกกร่อน การรักษาในกรณีนี้แพทย์จะให้ยาแก้ปวดมาทาน ให้รับการทำกายภาพบำบัด สวมเสื้อดามหลัง แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นคนอ้วนมากก็จะต้องให้ลดน้ำหนัก

5. อาการปวดหลังที่เกิดในสตรีมีครรภ์อาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อยึดกระดูก หย่อนยาน การแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของทารก หรือมดลูกที่โตขึ้นกดทับเส้นประสาททำให้ปวดหลังจนร้าวไปถึงขาได้ ซึ่งหากอาการปวดเป็นมากผิดปกติควรรีบปรึกษาขอคำแนะนำจากแพทย์โดยด่วน 

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

เล็กๆน้อยๆเรื่องการนอน



ความรู้และเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆในเรื่องการนอนที่อาจช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

1.หลายคนคงคุ้นกับประโยคที่บอกว่า " ควรนอนไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง " ใช่ไหมค่ะ แต่ดร. Neil บอกว่าจริงๆแล้วไม่มีกฎตายตัวว่าต้องนอนนานเท่าไหร่ มันแล้วแต่บุคคล ถ้าอยู่ในระหว่าง 3 - 11 ชั่วโมงถือว่าใช่ได้ไม่ผิดปรกติอะไร ถ้าอีกวันตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสดชื่นสดใส สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ถือว่าโอเคแล้ว
 
2. เรื่องเวลานอนที่จริงแล้วไม่ค่อยสำคัญ สิ่งที่ควรสนใจคือ คุณได้ใช้เวลาไปกับการหลับลึกมากแค่ไหนต่างหาก ซึ่ง ช่วงหลับลึกจะกินเวลาหนึ่งในสามแรกของการนอนและเป็นช่วงที่ร่างกายได้รับการ พักผ่อนมากที่สุดค่ะ มันไม่จริงหรอกค่ะที่นอนตอนสี่ทุ่มจะดีกว่าตอนห้าทุ่ม ข้ออ้างนี้มันสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เอาไว้ใช้ไล่ให้ลูกไปเข้านอน
 
3. สำหรับเรื่องการนอนไม่หลับ ดร. Neil บอกว่า ส่วนตัวแล้วเขาเป็นคนหลับง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดคุณนอนไม่หลับหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก อย่ามั่วแต่นอนพลิกไปพลิกมา ลองหยิบหนังสือที่มีเนื้อหาสบายๆไม่เร้าอารมณ์มากมาอ่าน ถ้าร่างกายคุณยังคงต้องการการพักผ่อน มันก็จะง่วงขึ้นมาเอง
 
4. ดร. Neil กับภรรยาแยกเตียงกันนอน เขาบอกว่า " การนอนเป็นสิ่งเห็นแก่ตัวที่สุดที่คุณสามารถทำได้ " ถ้า แยกกันนอนกับคนรักแล้วสบายตัวสบายใจหลับฝันได้ ก็แยกเตียงเถอะ ดีกว่าทนฟังเสียงกรน ดมตด หรือถูกคนรักเตะตลอดทั้งคืน ส่วนใครที่กังวลว่าทำแบบนี้มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตคู่รึเปล่า คำตอบคือไม่ค่ะ ... ซึ่ง ดร. Neil กล่าวไว้ว่า
" ไม่ได้นอนด้วยกัน ไม่ใช่ปัญหา .... แต่ไม่มีเซ็กซ์กันตั้งหากที่เป็น! "